วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

วัยเรียน

พฤติกรรมที่แสดงถึงพัฒนาการทางกายที่เด่นชัดที่สุดคือ พฤติกรรมการไม่อยู่นิ่งและการเล่นที่ต้องใช้กำลังเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายๆ 11-12 ปี เด็กจะเริ่มอยู่นิ่งได้มากและนานขึ้น

พัฒนาการทางอารมณ์

เด็กมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมขณะเกิดอารมณ์ได้ไม่ดีนัก อารมณ์เด็กวัยนี้รุนแรงกว่าเด็กวัยก่อนเข้าเรียนมาก
พฤติกรรมที่แสดงออกให้เห็นถึงพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กวัยนี้ คือ การรู้จักเอาใจและแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับคำติชม หรือเยาะเย้ยถากถางส่วนพฤติกรรมของเด็กที่ แสดงออกจะเหมาะสมหรือไม่เพียงใดขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและแบบอย่าง

พัฒนาการทางสังคม

พฤติกรรมที่เห็นเด่นชัด คือ การเล่นกับเพื่อนได้นานขึ้น และการมีความสัมพันธ์กับเพื่อนถึงขนาดนัดกันไปเที่ยวหรือซื้อของด้วยกัน

พัฒนาการทางสติปัญญา

พฤติกรรมที่แสดงออกให้เห็นชัดเจน คือ พฤติกรรมการทดลองเมื่อเกิดการอยากรู้อยากเห็น และพยายามสร้างผลงานทีเ่ป็นสิ่งประดิษฐ์ตามความนึกคิดของตนเอง

เด็กวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี)

เด็กวัยนี้มีสติปัญญาขั้นพัฒนาด้วยรูปธรรม เด็กรับรู้ความจริงมากกว่า คิดเพ้อฝัน หรือคิดไปเอง ความกลัวที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กวัยนี้คือ สภาวะที่ถูกคุกคาม การสูญเสียการควบคุม และกลัวร่างกาย ได้รับบาดเจ็บ เริ่มกลัวความตาย เด็กต้องการคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น
การดูแล
1. ช่วยเหลือตนเองเท่าที่สามารถทำได้ ส่งเสริมความเป็นอิสระ การมีผลงาน ลดความรู้สึกว่าถูกควบคุม ให้คำชมเชย เมื่อเด็กทำได้ดี เพื่อสร้างความภาคภูมิจให้กับเด็ก
2. จัดกิจกรรมการเล่นที่ส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อย่อย และความคิดสร้างสรรค์ เช่น ตัดกระดาษ พับกระดาษ ระบายสี และกิจกรรมอื่นๆ ที่เด็กสนใจ
3. อธิบายให้เด็กฟังเกี่ยวกับโรคการรักษาพยาบาล การดูแลตนเอง อย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นรูปธรรมด้วยข้อความง่ายๆ
4. บอกเหตุผลก่อนปฏิบัติการพยาบาล เพื่อให้เด็กให้ความร่วมมือมากขึ้น
5. ในแต่ละเวรควรมีเวลาพูดคุยกับเด็กป่วย และครอบครัวต่างหากที่ไม่ใช่การพูดคุยขณะปฏิบัติงาน ต้องบอกกับเด็กและครอบครัวว่าเป็นเวลาที่จะถามเรื่องอะไรก็ได้ที่ต้องการ
6. เปิดโอกาสให้เด็กป่วยได้มีกิจกรรมร่วมกับผู้ป่วยเด็กวัยเดียวกัน

รูปภาพ น่ารัก แบบเด็กๆ

ดอนหอยหลอด

วังกุ้ง

วังกุ้ง
ฟาร์มกุ้ง บ่อกุ้ง เป็นคำที่ได้ยินอยู่ทั่วไป แต่ที่นี่ จะใช้คำว่า "วังกุ้ง" แทน เค้าบอกว่าเรียกแบบนี้กันมานานแล้ว ฟังดูออกจะโก้เก๋ แต่ถ้าจะให้เดา ก็น่าจะเป็นเพราะ ชาวบ้านแถบนี้สร้างฐานะร่ำรวยมาจากวังกุ้งกันนักต่อนักแล้ว

ผมก็พึ่งได้ยินและได้เห็นกับตาว่าที่นี่เลี้ยงกุ้งกันแบบธรรมชาติ  เหมือนเป็นบ่อเลี้ยงปลา ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องดูแลหรือสนใจมากนัก ใครอยากพายเรือเล่นในบ่อกุ้งก็เชิญตามสบาย ใครอยากโดดน้ำเล่นก็เชิญตามสะดวก ไม่ต้องระมัดระวังเหมือนที่อื่นๆ ที่ต้องเฝ้าดูแลใกล้ชิด ประคบประหงมกันเหมือนไข่ในหิน

ภาพเครื่องทำอ็อกซิเจนในฟาร์มเลี้ยงกุ้งเป็นภาพค่อนข้างชินตา แต่ที่นี่ปล่อยให้เทวดาเลี้ยง จึงไม่ต้องลงทุนหรือจะมีค่าใช้จ่ายกันมากนัก

เพียงแค่เปิดประตูน้ำจากคลองให้ไหลเข้ามาในฟาร์ม ก็จะได้ทั้งปลาและกุ้งขนาดต่างๆ เข้ามาในบ่อมากมาย ซึ่งแสดงว่าคลองแถบนี้ยังมีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ จึงมีกุ้งจากทะเล น้ำกร่อยนานาชนิดอาศัยอยู่ในป่าชายเลนเป็นจำนวนมาก

จากนั้นก็ปล่อยให้กุ้งหากินอาหารเองในบ่อที่มีเนื้อที่หลายสิบไร่ บางบ่ออาจเป็นร้อยๆไร่
บ่อที่มีขนาดใหญ่จึงเป็นแหล่งสะสมอาหารตามธรรมชาติ ที่มากพอที่จะเลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำ ิชนิดอื่นได้อย่างพอเพียง เป็นการสร้างความสมดุลย์ด้วยตัวมันเอง

ไม่ต้องไปวัดค่า PH หรือค่าความเป็นกรด - ด่างจากน้ำ ไม่ต้องให้อาหารเสริมใดๆ เพราะกุ้งในบ่อไม่ได้อยู่กันแออัดจนต้องแย่งอาหารกัน และต้องให้อาหารเสริมเหมือนกับ การเลี้ยงแบบสมัยใหม่ ที่ต้องอัดกุ้งเป็นจำนวนมากในบ่อเล็กๆโดยมีเครื่องอัดอากาศช่วย และเสริมอาหารอย่างเต็มที่

เมื่อกุ้งโตได้ขนาดก็ทะยอยจับมาขายเป็นระยะๆ ได้ทั้งกุ้ง และปลาที่อาศัยอยู่ด้วยกันในบ่อ สัตว์น้ำที่ได้จึงปลอดจากสารแปลกปลอมที่มักติดมากับอาหารเสริมเพื่อเร่งการเจริญติบโต หลายคนมักไม่กล้ากินกุ้งจากฟาร์มเลี้ยง เพราะกลัวจะมีผลกระทบตามมา เช่นมะเร็ง

ศัตรูของกุ้งก็คือ"กาน้ำ" ซึ่งเป็นนกที่มีจะงอยปากลักษณะคล้ายเป็ด  เมื่อกุ้งโตได้ขนาด กาน้ำ ก็จะเริ่มมารังควาน บินลงจิกกินกุ้งที่อยู่ในน้ำ ชาวบ้านจึงต้องจุดประทัดไล่ หรือยิงปืนเพื่อเกิดเสียงดัง ทำให้นกแตกตื่นบินขึ้นเต็มท้องฟ้า
กุ้งที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ จะมีเนื้อแน่นและรสอร่อย เพราะเติบโตแบบธรรมชาติ ไม่มีการขุน หรือเร่งให้โตเร็ว

อาหารมื้อแรกที่เจ้าของบ้านนำมาเลี้ยงในช่วงบ่ายของวันที่มาถึง เป็นกุ้งตัวโตขนาดใหญ่ วางในจานใบเบ่อเร่อ สดและเนื้อแน่นมาก ครอบครัวผมจึงทานกันอย่างจุใจ โดยมีเจ้าของบ้าน มานั่งเชียร์ให้ทานกันเยอะๆ พร้อมจิบเบียร์นั่งเสวนาไปด้วยกัน เมื่อเบียร์หมดขวดกุ้งก็หมดจานพอดี

รสชาติฝีมือพ่อครัวหัวป่าก์จากเจ้าของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นต้มยำปลาหมอเทศ ยำปลากรอบ หรือน้ำจิ้มรสจัด ระดับอาชีพจริงๆ

ร่ำๆว่าอยากเปิดร้านอาหารในฟาร์มนี้ ลักษณะแบบโฮมสเตย์ ทำกันสนุกๆ มีกุ้ง หอย ปู ปลา ในฟาร์มนี้เป็นวัตถุดิบ โดยไม่ต้องไปหาซื้อจากที่อื่น

ระบบสุริยะจักรวาล


ระบบสุริยะจักรวาล

        ระบบสุริยะ ประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอื่นๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เช่น ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และดาวบริวาร โลกเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 3 โดยทั่วไป ถ้าให้ถูกต้องที่สุดควรเรียกว่า ระบบดาวเคราะห์ เมื่อกล่าวถึงระบบที่มีวัตถุต่างๆ โคจรรอบดาวฤกษ์
        ระบบสุริยะ คือระบบดาวที่มีดาวฤกษ์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ (Planet) เป็นบริวารโคจรอยู่โดยรอบ เมื่อสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ต่อการดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตก็จะเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์เหล่านั้น หรือ บริวารของดาวเคราะห์เองที่เรียกว่าดวงจันทร์ (Satellite) นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ในบรรดาดาวฤกษ์ทั้งหมดกว่าแสนล้านดวงในกาแลกซี่ทางช้างเผือก ต้องมีระบบสุริยะที่เอื้ออำนวยชีวิตอย่าง ระบบสุริยะที่โลกของเราเป็นบริวารอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าระยะทางไกลมากเกินกว่าความสามารถในการติดต่อจะทำได้ถึงที่โลกของเราอยู่เป็นระบบที่ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์ (The sun) เป็นศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ (Planets) 9 ดวง ที่เราเรียกกันว่า ดาวนพเคราะห์ ( นพ แปลว่า เก้า) เรียงตามลำดับ จากในสุดคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ดาวพลูโต ( ตอนนี้ไม่มีพลูโตแร้ว เหลือแค่ 8 ดวง )
        และยังมีดวงจันทร์บริวารของ ดวงเคราะห์แต่ละดวง (Moon of sattelites) ยกเว้นเพียง สองดวงคือ ดาวพุธ และ ดาวศุกร์ ที่ไม่มีบริวาร ดาวเคราะห์น้อย (Minor planets) ดาวหาง (Comets) อุกกาบาต (Meteorites) ตลอดจนกลุ่มฝุ่นและก๊าซ ซึ่งเคลื่อนที่อยู่ในวงโคจร ภายใต้อิทธิพลแรงดึงดูด จากดวงอาทิตย์ ขนาดของระบบสุริยะ กว้างใหญ่ไพศาลมาก เมื่อเทียบระยะทาง ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร หรือ 1au.(astronomy unit) หน่วยดาราศาสตร์ กล่าวคือ ระบบสุริยะมีระยะทางไกลไปจนถึงวงโคจร ของดาวพลูโต ดาว เคราะห์ที่มีขนาดเล็กที่สุด ในระบบสุริยะ ซึ่งอยู่ไกล เป็นระยะทาง 40 เท่าของ 1 หน่วยดาราศาสตร์ และยังไกลห่างออก ไปอีกจนถึงดงดาวหางอ๊อต (Oort's Cloud) ซึ่งอาจอยู่ไกลถึง 500,000 เท่า ของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ด้วย ดวงอาทิตย์มีมวล มากกว่าร้อยละ 99 ของ มวลทั้งหมดในระบบสุริยะ ที่เหลือ
        นอกนั้นจะเป็นมวลของ เทหวัตถุต่างๆ ซึ่ง ประกอบด้วยดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอุกกาบาต รวมไปถึงฝุ่นและก๊าซ ที่ล่องลอยระหว่าง ดาวเคราะห์ แต่ละดวง โดยมีแรงดึงดูด (Gravity) เป็นแรงควบคุมระบบสุริยะ ให้เทหวัตถุบนฟ้าทั้งหมด เคลื่อนที่เป็นไปตามกฏแรง แรงโน้มถ่วงของนิวตัน ดวงอาทิตย์แพร่พลังงาน ออกมา ด้วยอัตราประมาณ 90,000,000,000,000,000,000,000,000 แคลอรีต่อวินาที เป็นพลังงานที่เกิดจากปฏิกริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ โดยการเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม ซึ่งเป็นแหล่งความร้อนให้กับดาว ดาวเคราะห์ต่างๆ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์ จะเสียไฮโดรเจนไปถึง 4,000,000 ตันต่อวินาทีก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีความเชื่อว่าดวงอาทิตย์ จะยังคงแพร่พลังงานออกมา ในอัตรา ที่เท่ากันนี้ได้อีกนานหลายพันล้านปี


        ชื่อของดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวงยกเว้นโลก ถูกตั้งชื่อตามเทพของชาวกรีก เพราะเชื่อว่าเทพเหล่านั้นอยู่บนสรวงสวรค์ และเคารพบูชาแต่โบราณกาล ในสมัยโบราณจะรู้จักดาวเคราะห์เพียง 5 ดวงเท่านั้น(ไม่นับโลกของเรา) เพราะสามารถเห็นได้ ด้วยตาเปล่าคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ประกอบกับดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ รวมเป็น 7 ทำให้เกิดวันทั้ง 7 ในสัปดาห์นั่นเอง และดาวทั้ง 7 นี้จึงมีอิทธิกับดวงชะตาชีวิตของคนเราตามความเชื่อถือทางโหราศาสตร์ ส่วนดาวเคราะห์อีก 3 ดวงคือ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ดาวพลูโต ถูกคนพบภายหลัง แต่นักดาราศาสตร์ก็ตั้งชื่อตามเทพของกรีก เพื่อให้สอดคล้องกันนั่นเอง

ดาวเทียมสื่อสาร


                  ดาวเทียมสื่อสารเป็นดาวเทียมที่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าทำงานตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุด เพื่อที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายการสื่อสารของโลกเข้าไว้ด้วยกัน นับตั้งแต่ NASA ส่งดาวเทียมสื่อสารเข้าสู่วงโคจรไป จนปัจจุบันมีบริษัทเอกชนจำนวนมากที่เข้ามาบุกเบิกธุรกิจ และทำกำไรมหาศาล จากประโยชน์ต่างๆ ที่ได้จากดาวเทียม
       ดาวเทียมสื่อสารเมื่อถูกส่งเข้าสู่วงโคจร มันก็พร้อมที่จะทำงานได้ทันที มันจุส่งสัญญาณไปยังสถานีภาคพื้นดิน สถานีภาคพื้นดินจะรับสัญญาณโดยใช้อุปกรณ์ ที่เรียกว่า "Transponder" ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่พักสัญญาณ แล้วกระจายสัญญาณไปยังจุดรับสัญญาณต่างๆ บนพื้นโลก ดาวเทียมสื่สารสามารถส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์ ข้อมูลต่างๆ รวมถึงสัญญาณภาพโทรทัศน์ได้ไปยังทุกหนทุกแห่ง

            วิธีการทำงาน
       
เนื่องจากดาวเทียมสื่อสารเป็นดาวเทียมที่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการหยุด ดาวเทียมสื่อสารจึงถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ให้สามารถใช้งานในอวกาศได้ประมาณ 10 - 15 ปี โดยที่ดาวเทียมต้องสามารถโคจร และรักษาตำแหน่งให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องได้ตลอดเวลา ดาวเทียมสื่อสารทำงานโดยอาศัยหลักการส่งผ่านสัญญาณถึงกันระหว่างสถานีภาคพื้นดินและ ดาวเทียม ซึ่งมีการทำงาน ดังนี้

       1. ภาคอวกาศ (Space Segment)
ประกอบด้วยตัวดาวเทียม ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้           1.1 ระบบขับเคลื่อนตัวดาวเทียม (Propulsion Subsystem) โดยจะใช้ก๊าซ หรือพลังงานความร้อนจากไฟฟ้าเพื่อให้เกิดแรงผลักดัน หรือแรงกระตุ้นเพื่อให้เกิดการหมุนและรักษาตำแหน่งของดาวเทียม
           1.2 ระบบควบคุมตัวดาวเทียม (Spacecraft Control Subsystem) เพื่อรักษาสมดุลในการทรงตัวของดาวเทียมเพื่อไม่ให้ดาวเทียมหลุดลอย ไปในอวกาศหรือถูกแรงดึงดูดของโลกดึงให้ตกลงมาบนพื้นโลก
           1.3 ระบบอุปกรณ์สื่อสาร (Electronic Communication Subsystem) เนื่องจากดาวเทียมสื่อสารส่วนใหญ่จะมีทรานสปอนเดอร์ (Transponder) หรือช่องสัญญาณดาวเทียมทำหน้าที่รับสัญญาณจากสถานีส่งภาคพื้นดินแล้วแปลงความถี่ของสัญญาณดังกล่าวให้เป็นความถี่ขาลง (Downlink Frequency) พร้อมทั้งขยายสัญญาณดังกล่าวเพื่อให้สามารถส่งกลับสู่สถานีภาคพื้นดินได้
           1.4 ระบบพลังงานไฟฟ้า (Electrical Power Subsystem) ดาวเทียมสื่อสารทุกดวงจะมีแผงเซลล์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์สื่อสาร และภาคควบคุมต่างๆ บนดาวเทียม นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Battery) เพื่อสำรองไว้ใช้งานอีกด้วย
           1.5 ระบบสายอากาศ (Antenna Subsystem) จานสายอากาศบนตัวดาวเทียม จะทำหน้าที่รับสัญญาณจากสถานีภาคพื้นดิน โดยใช้จานสายอากาศส่วนใหญ่เป็นแบบ Paraboloid มีการส่ง สัญญาณเป็นชนิดที่มีการกำหนดทิศทาง (Directional Beam)
            1.6 ระบบติดตามและควบคุม (TT&C Telemetry Tracking and Command Subsystem) ใช้ติดตามการทำงานของดาวเทียมและควบคุมรักษาตำแหน่งของดาวเทียมให้โคจรอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เสมอ จากสถานีควบคุมภาคพื้นดิน (Master Earth Station)

             2. ภาคพื้นดิน (Ground Segment) : สถานีดาวเทียมภาคพื้นดิน (Satellite Earth Station) ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ๆ คือ          2.1 อุปกรณ์จานสายอากาศ (Antenna Subsystem) ต้องมีความสามารถในการรวมพลังงานไปในทิศทางที่ตรงกับดาวเทียม
และต้องมีความสามารถในการรับสัญญาณจากดาวเทียมได้
          2.2 ภาคอุปกรณ์สัญญาณวิทยุ (Radio Frequency Subsystem) ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณความถี่วิทยุที่ใช้งานเป็นหลัก
          2.3 ภาคอุปกรณ์แปลงสัญญาณวิทยุ (RF/IF Subsystem) ประกอบด้วย
                   1) Up Converter Part ทำหน้าที่แปลงย่านความถี่ IF ซึ่งรับจาก Satellite Modem ให้เป็นความถี่ย่านที่ใช้งานกับระบบดาวเทียมต่าง ๆ จากนั้นส่งสัญญาณที่แปลงความถี่แล้วไปให้ภาคขยายสัญญาณย่านความถี่สูง เพื่อส่งสัญญาณไปยังดาวเทียม
                  2) Down Converter Part ทำหน้าที่แปลงความถี่ของสัญญาณ ที่ได้รับจากดาวเทียมในย่านความถี่ของดาวเทียมไปเป็นความถี่ย่าน
IF เพื่อส่งต่อให้แก่ภาค Demodulator ของ Satellite Modem
          2.4 อุปกรณ์ Modem (Modulator / Demodutator) ทำหน้าที่แปลงข้อมูลที่ต้องการส่งผ่านระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมให้อยู่ในรูปของ สัญญาณคลื่นวิทยุที่มีข้อมูลผสมอยู่ให้ได้เป็นข้อมูลที่สามารถนำไปใช้งานต่อไป
         วิถีการโคจร
        ดาวเทียมสื่อสารโคจรเป็นวงกลมในแนวระนาบกับเส้นศูนย์สูตร หรือที่เรียกว่า "วงโคจรค้างฟ้า (Geostationary Orbit)"



           ประโยชน์ที่ได้รับ
        ด้านการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคมทางด้านต่างๆ เช่น ทางด้านสัญญาณโทรทัศน์ สัญญาณโทรศัพท์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์

       ตัวอย่างดาวเทียมสื่อสาร        ดาวเทียม Thaicom 1 และ 2 เป็นดาวเทียมสื่อสารชุดแรกของประเทศไทย ถูกส่งขึ้นไปโคจรในปี พ.ศ. 2536 และ 2537 ตามลำดับ เพื่อให้บริการทางด้านการสื่อสารมีรัศมีการให้ บริการครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย และภูมิภาคใกล้เคียง


      ดาวเทียม Thaicom 3 เป็นดาวเทียมสื่อสารอีกดวงหนึ่งของประเทศไทย ถูกส่งขึ้นไปโคจรในปี พ.ศ. 2540 เพื่อให้บริการทางด้านการสื่อสาร มีรัศมีการให้บริการครอบคลุมทั่วทั้ง 4 ทวีป






 ดาวเทียมสื่อสาร



















































 

คลองวัดหัวกระบือ

อาหารไทย ภาค อีสาน

แต่สำหรับ “ผู้จัดการตระเวนกิน” แล้วถึงฝนจะตก ฟ้าจะร้องเราก็ยังชอบที่จะออกจากบ้าน เพื่อเดินทางไปตระเวนกินอาหาร ที่ใจปรารถนาอยากจะไปกินกัน อย่างในมื้อนี้ เมื่อเราเกิดนึกอยากกินทั้งอาหารเวียดนาม และอาหารไทยขึ้นมาพร้อมๆ กัน เราก็รีบขับรถฝ่าสายฝนพรำตรงดิ่งมายังซ.เสนานิคม 1 เพราะว่าสืบเสาะรู้มาว่าที่ซอยเสนาฯ นี้มีร้านอาหารชื่อว่า ”บ้านสีเขียว” ที่หากมาที่ร้านนี้เพียงที่เดียว ก็จะได้อิ่มกับทั้งอาหารเวียดนามรสดี ที่กินดีต่อสุขภาพ และยังจะได้ลิ้มรสชาติกับ อาหารไทย-อีสาน อันจัดจ้านชวนกิน

แหนมเนือง
       เรามาถึงร้านบ้านสีเขียว พร้อมกับสายฝนที่หยุดตกพอดี หลังจากที่เดินปรี่หาที่นั่งในมุมสบายได้แล้ว เราก็รีบขอเมนูมาเปิดสั่งอาหารกันทันที ซึ่งเราเลือกที่กินทั้งอาหารเวียดนาม และอาหารไทย-อีสานมากินกันแบบให้สมใจอยาก เริ่มจากขอสั่งเมนูเวียดนาม จานเด่นของที่นี่ มากินกันก่อนเลย คือ แหนมเนือง (70, 100, 160 บาท) ที่เสิร์ฟมาเป็นชุดพร้อมสรรพ มีหมูบดละเอียดปรุงรสชาติปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วเสียบไม้ย่างด้วยเตาถ่าน ได้หมูหอมๆ รสดีนำมาห่อกินกับแผ่นแป้ง ใส่เครื่องเคียงสารพัด และห่อใส่ผักสดๆ แล้วราดด้วยน้ำจิ้มสูตรเด็ด ที่ทางร้านจะใส่ข้าวเหนียวลงไปด้วยในน้ำจิ้ม เพื่อเพิ่มความเข้มข้น เมื่อห่อแหนมเนืองได้คำโต ก็ส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมคำใหญ่ สัมผัสได้ถึงแผ่นแป้งเนื้อบางเหนียวนุ่ม เนื้อหมูนิ่มๆ ออกรสเข้มข้น กลมกล่อมเข้ากันกับน้ำจิ้มรสเข้มข้นออกหวานนำ เจือเผ็ดนิดหน่อยถูกปากนักเชียว และกินแนมกับผักสดๆ หลากชนิดที่ใส่มาเต็มตะกร้า

ปอเปี๊ยะทอดทะเล
       ถัดมาเป็นอีกหนึ่งเมนูเวียดนามที่ขายดี ปอเปี๊ยะทอดทะเล (70 บาท) เป็นแผ่นแป้งปอเปี๊ยะญวนห่อกับไส้ปรุงรสที่มีวุ้นเส้น หอมใหญ่ ถั่วงอก เนื้อกุ้งและเนื้อปลาหมึกบด ห่อม้วนเป็นโรลแล้วทอดจนเหลืองกรอบ มาพร้อมกับน้ำจิ้มรสเด็ดที่ทางร้านทำเอง ตักชิ้นปอเปี๊ยะร้อนๆ ราดด้วยน้ำจิ้มแล้วก็ส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมคำโต แผ่นแป้งปอเปี๊ยะเคี้ยวดังกรุบกรอบ ได้รสชาติของไส้ที่กลมกล่อมบวกกับรสชาติน้ำจิ้มหวานๆ ถูกปากดีแท้

ยำหมูยอ
       ยำหมูยอ (70 บาท) เมนูนี้อาจดูเป็นเมนูธรรมดาๆ แต่ถ้าได้ลองลิ้มรสชาติแล้วจะรู้ว่าไม่ธรรมดาเลย เพราะหมูยอนั้นเป็นหมูยอหนังรสดี ที่ทางร้านสั่งตรงมาจากหนองคายโดยเฉพาะ นำมายำปรุงรสแซบเด็ด กินแล้วเคี้ยวสัมผัสได้ถึงหมูยอเนื้อนุ่มไม่แข็ง แถมยังมีหนังหมูให้เคี้ยวมันกรึบๆ ปาก

ข้าวเหนียวไก่ทอด
       จากอาหารเวียดนามสลับรสชาติมากินอาหารไทย-อีสาน กันบ้าง มีเมนูกินง่ายๆ ที่ผู้ใหญ่กินได้ เด็กกินดี อย่างข้าวเหนียวไก่ทอด (60 บาท) ชวนให้ลิ้มลอง มีข้าวเหนียวนึ่งปั้นเป็นลูกกลมๆ ไปชุบไข่ปรุงรสถึง 2 รอบแล้วทอดจนเหลืองกรอบ กินข้าวเหนียวทอดร้อนๆ เคี้ยวกรอบนอกแต่เนื้อในนุ่มเหนียวได้รสชาติ กินคู่กับไก่ทอดกรอบ ที่หมักรสชาติได้ถึงเครื่องเข้มข้นถูกปาก

ต้มยำกุ้งมะพร้าวน้ำหอม
       ส่งท้ายด้วยเมนูที่เหมาะแก่การสั่งมาซดน้ำให้คล่องคอ ที่ถ้าใครชอบต้มยำกุ้งเป็นทุนเดิม ขอบอกให้ลองชิม ต้มยำกุ้งมะพร้าวน้ำหอม (ถ้วย 95 บาท หม้อไฟ 160 บาท) ดูแล้วจะติดใจ เป็นต้มยำกุ้งน้ำข้นครบเครื่องต้มยำ ที่ใส่กุ้งก้ามกรามตัวโต และทางร้านเลือกที่จะใส่เนื้อมะพร้าวน้ำหอม และน้ำมะพร้าวลงไปด้วย เพื่อเพิ่มรสชาติความหอมหวาน และความกลมกล่อมที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ซดน้ำต้มยำร้อนๆ ผ่านลำคอ ลงไปสัมผัสได้ถึงรสชาติต้มยำกุ้ง ที่เข้มข้นจัดจ้านถึงใจ

มุมสวนเล็กๆ หน้าร้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวดูสดชื่น
       ทั้งหมดนี้คือเมนูจานเด็ดที่เราได้ลิ้มลองในมื้อนี้ แต่ถ้าหากใครมากินแล้วอยากจะลองลิ้มรสชาติเมนูอื่นๆ บ้างก็ไม่ว่ากัน เพราะว่ายังมีเมนูที่ชวนกินอีกมาก อาทิ กุ้งพันอ้อย (80 บาท) คอหมูย่าง (65 บาท) ต้มส้มไก่บ้านใบมะขามอ่อน (70, 120 บาท) ปลาสำลีทรงเครื่อง (160-220 บาท) กุ้งอบวุ้นเส้น (80 บาท) และอีกหลากหลายเมนูเวียดนาม ไทย-อีสาน ที่ชวนให้สั่งมานั่งกินท่ามกลางบรรยากาศร้านที่ชวนนั่ง ที่เน้นความโล่ง โปร่งสบายๆ และได้สัมผัสกับสายลมเย็นๆ จากธรรมชาติ อีกทั้งทางร้านยังเลือกที่จะปลูกต้นไม้สีเขียวๆ รายล้อมรอบร้าน ช่วยเพิ่มความสดชื่นสบายตา และสร้างความร่มรื่น ให้กับบรรยากาศการนั่งกินอาหารที่ร้าน “บ้านสีเขียว”