วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

วัยเรียน

พฤติกรรมที่แสดงถึงพัฒนาการทางกายที่เด่นชัดที่สุดคือ พฤติกรรมการไม่อยู่นิ่งและการเล่นที่ต้องใช้กำลังเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายๆ 11-12 ปี เด็กจะเริ่มอยู่นิ่งได้มากและนานขึ้น

พัฒนาการทางอารมณ์

เด็กมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมขณะเกิดอารมณ์ได้ไม่ดีนัก อารมณ์เด็กวัยนี้รุนแรงกว่าเด็กวัยก่อนเข้าเรียนมาก
พฤติกรรมที่แสดงออกให้เห็นถึงพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กวัยนี้ คือ การรู้จักเอาใจและแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับคำติชม หรือเยาะเย้ยถากถางส่วนพฤติกรรมของเด็กที่ แสดงออกจะเหมาะสมหรือไม่เพียงใดขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและแบบอย่าง

พัฒนาการทางสังคม

พฤติกรรมที่เห็นเด่นชัด คือ การเล่นกับเพื่อนได้นานขึ้น และการมีความสัมพันธ์กับเพื่อนถึงขนาดนัดกันไปเที่ยวหรือซื้อของด้วยกัน

พัฒนาการทางสติปัญญา

พฤติกรรมที่แสดงออกให้เห็นชัดเจน คือ พฤติกรรมการทดลองเมื่อเกิดการอยากรู้อยากเห็น และพยายามสร้างผลงานทีเ่ป็นสิ่งประดิษฐ์ตามความนึกคิดของตนเอง

เด็กวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี)

เด็กวัยนี้มีสติปัญญาขั้นพัฒนาด้วยรูปธรรม เด็กรับรู้ความจริงมากกว่า คิดเพ้อฝัน หรือคิดไปเอง ความกลัวที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กวัยนี้คือ สภาวะที่ถูกคุกคาม การสูญเสียการควบคุม และกลัวร่างกาย ได้รับบาดเจ็บ เริ่มกลัวความตาย เด็กต้องการคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น
การดูแล
1. ช่วยเหลือตนเองเท่าที่สามารถทำได้ ส่งเสริมความเป็นอิสระ การมีผลงาน ลดความรู้สึกว่าถูกควบคุม ให้คำชมเชย เมื่อเด็กทำได้ดี เพื่อสร้างความภาคภูมิจให้กับเด็ก
2. จัดกิจกรรมการเล่นที่ส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อย่อย และความคิดสร้างสรรค์ เช่น ตัดกระดาษ พับกระดาษ ระบายสี และกิจกรรมอื่นๆ ที่เด็กสนใจ
3. อธิบายให้เด็กฟังเกี่ยวกับโรคการรักษาพยาบาล การดูแลตนเอง อย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นรูปธรรมด้วยข้อความง่ายๆ
4. บอกเหตุผลก่อนปฏิบัติการพยาบาล เพื่อให้เด็กให้ความร่วมมือมากขึ้น
5. ในแต่ละเวรควรมีเวลาพูดคุยกับเด็กป่วย และครอบครัวต่างหากที่ไม่ใช่การพูดคุยขณะปฏิบัติงาน ต้องบอกกับเด็กและครอบครัวว่าเป็นเวลาที่จะถามเรื่องอะไรก็ได้ที่ต้องการ
6. เปิดโอกาสให้เด็กป่วยได้มีกิจกรรมร่วมกับผู้ป่วยเด็กวัยเดียวกัน

รูปภาพ น่ารัก แบบเด็กๆ

ดอนหอยหลอด

วังกุ้ง

วังกุ้ง
ฟาร์มกุ้ง บ่อกุ้ง เป็นคำที่ได้ยินอยู่ทั่วไป แต่ที่นี่ จะใช้คำว่า "วังกุ้ง" แทน เค้าบอกว่าเรียกแบบนี้กันมานานแล้ว ฟังดูออกจะโก้เก๋ แต่ถ้าจะให้เดา ก็น่าจะเป็นเพราะ ชาวบ้านแถบนี้สร้างฐานะร่ำรวยมาจากวังกุ้งกันนักต่อนักแล้ว

ผมก็พึ่งได้ยินและได้เห็นกับตาว่าที่นี่เลี้ยงกุ้งกันแบบธรรมชาติ  เหมือนเป็นบ่อเลี้ยงปลา ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องดูแลหรือสนใจมากนัก ใครอยากพายเรือเล่นในบ่อกุ้งก็เชิญตามสบาย ใครอยากโดดน้ำเล่นก็เชิญตามสะดวก ไม่ต้องระมัดระวังเหมือนที่อื่นๆ ที่ต้องเฝ้าดูแลใกล้ชิด ประคบประหงมกันเหมือนไข่ในหิน

ภาพเครื่องทำอ็อกซิเจนในฟาร์มเลี้ยงกุ้งเป็นภาพค่อนข้างชินตา แต่ที่นี่ปล่อยให้เทวดาเลี้ยง จึงไม่ต้องลงทุนหรือจะมีค่าใช้จ่ายกันมากนัก

เพียงแค่เปิดประตูน้ำจากคลองให้ไหลเข้ามาในฟาร์ม ก็จะได้ทั้งปลาและกุ้งขนาดต่างๆ เข้ามาในบ่อมากมาย ซึ่งแสดงว่าคลองแถบนี้ยังมีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ จึงมีกุ้งจากทะเล น้ำกร่อยนานาชนิดอาศัยอยู่ในป่าชายเลนเป็นจำนวนมาก

จากนั้นก็ปล่อยให้กุ้งหากินอาหารเองในบ่อที่มีเนื้อที่หลายสิบไร่ บางบ่ออาจเป็นร้อยๆไร่
บ่อที่มีขนาดใหญ่จึงเป็นแหล่งสะสมอาหารตามธรรมชาติ ที่มากพอที่จะเลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำ ิชนิดอื่นได้อย่างพอเพียง เป็นการสร้างความสมดุลย์ด้วยตัวมันเอง

ไม่ต้องไปวัดค่า PH หรือค่าความเป็นกรด - ด่างจากน้ำ ไม่ต้องให้อาหารเสริมใดๆ เพราะกุ้งในบ่อไม่ได้อยู่กันแออัดจนต้องแย่งอาหารกัน และต้องให้อาหารเสริมเหมือนกับ การเลี้ยงแบบสมัยใหม่ ที่ต้องอัดกุ้งเป็นจำนวนมากในบ่อเล็กๆโดยมีเครื่องอัดอากาศช่วย และเสริมอาหารอย่างเต็มที่

เมื่อกุ้งโตได้ขนาดก็ทะยอยจับมาขายเป็นระยะๆ ได้ทั้งกุ้ง และปลาที่อาศัยอยู่ด้วยกันในบ่อ สัตว์น้ำที่ได้จึงปลอดจากสารแปลกปลอมที่มักติดมากับอาหารเสริมเพื่อเร่งการเจริญติบโต หลายคนมักไม่กล้ากินกุ้งจากฟาร์มเลี้ยง เพราะกลัวจะมีผลกระทบตามมา เช่นมะเร็ง

ศัตรูของกุ้งก็คือ"กาน้ำ" ซึ่งเป็นนกที่มีจะงอยปากลักษณะคล้ายเป็ด  เมื่อกุ้งโตได้ขนาด กาน้ำ ก็จะเริ่มมารังควาน บินลงจิกกินกุ้งที่อยู่ในน้ำ ชาวบ้านจึงต้องจุดประทัดไล่ หรือยิงปืนเพื่อเกิดเสียงดัง ทำให้นกแตกตื่นบินขึ้นเต็มท้องฟ้า
กุ้งที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ จะมีเนื้อแน่นและรสอร่อย เพราะเติบโตแบบธรรมชาติ ไม่มีการขุน หรือเร่งให้โตเร็ว

อาหารมื้อแรกที่เจ้าของบ้านนำมาเลี้ยงในช่วงบ่ายของวันที่มาถึง เป็นกุ้งตัวโตขนาดใหญ่ วางในจานใบเบ่อเร่อ สดและเนื้อแน่นมาก ครอบครัวผมจึงทานกันอย่างจุใจ โดยมีเจ้าของบ้าน มานั่งเชียร์ให้ทานกันเยอะๆ พร้อมจิบเบียร์นั่งเสวนาไปด้วยกัน เมื่อเบียร์หมดขวดกุ้งก็หมดจานพอดี

รสชาติฝีมือพ่อครัวหัวป่าก์จากเจ้าของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นต้มยำปลาหมอเทศ ยำปลากรอบ หรือน้ำจิ้มรสจัด ระดับอาชีพจริงๆ

ร่ำๆว่าอยากเปิดร้านอาหารในฟาร์มนี้ ลักษณะแบบโฮมสเตย์ ทำกันสนุกๆ มีกุ้ง หอย ปู ปลา ในฟาร์มนี้เป็นวัตถุดิบ โดยไม่ต้องไปหาซื้อจากที่อื่น

ระบบสุริยะจักรวาล


ระบบสุริยะจักรวาล

        ระบบสุริยะ ประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอื่นๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เช่น ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และดาวบริวาร โลกเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 3 โดยทั่วไป ถ้าให้ถูกต้องที่สุดควรเรียกว่า ระบบดาวเคราะห์ เมื่อกล่าวถึงระบบที่มีวัตถุต่างๆ โคจรรอบดาวฤกษ์
        ระบบสุริยะ คือระบบดาวที่มีดาวฤกษ์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ (Planet) เป็นบริวารโคจรอยู่โดยรอบ เมื่อสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ต่อการดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตก็จะเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์เหล่านั้น หรือ บริวารของดาวเคราะห์เองที่เรียกว่าดวงจันทร์ (Satellite) นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ในบรรดาดาวฤกษ์ทั้งหมดกว่าแสนล้านดวงในกาแลกซี่ทางช้างเผือก ต้องมีระบบสุริยะที่เอื้ออำนวยชีวิตอย่าง ระบบสุริยะที่โลกของเราเป็นบริวารอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าระยะทางไกลมากเกินกว่าความสามารถในการติดต่อจะทำได้ถึงที่โลกของเราอยู่เป็นระบบที่ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์ (The sun) เป็นศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ (Planets) 9 ดวง ที่เราเรียกกันว่า ดาวนพเคราะห์ ( นพ แปลว่า เก้า) เรียงตามลำดับ จากในสุดคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ดาวพลูโต ( ตอนนี้ไม่มีพลูโตแร้ว เหลือแค่ 8 ดวง )
        และยังมีดวงจันทร์บริวารของ ดวงเคราะห์แต่ละดวง (Moon of sattelites) ยกเว้นเพียง สองดวงคือ ดาวพุธ และ ดาวศุกร์ ที่ไม่มีบริวาร ดาวเคราะห์น้อย (Minor planets) ดาวหาง (Comets) อุกกาบาต (Meteorites) ตลอดจนกลุ่มฝุ่นและก๊าซ ซึ่งเคลื่อนที่อยู่ในวงโคจร ภายใต้อิทธิพลแรงดึงดูด จากดวงอาทิตย์ ขนาดของระบบสุริยะ กว้างใหญ่ไพศาลมาก เมื่อเทียบระยะทาง ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร หรือ 1au.(astronomy unit) หน่วยดาราศาสตร์ กล่าวคือ ระบบสุริยะมีระยะทางไกลไปจนถึงวงโคจร ของดาวพลูโต ดาว เคราะห์ที่มีขนาดเล็กที่สุด ในระบบสุริยะ ซึ่งอยู่ไกล เป็นระยะทาง 40 เท่าของ 1 หน่วยดาราศาสตร์ และยังไกลห่างออก ไปอีกจนถึงดงดาวหางอ๊อต (Oort's Cloud) ซึ่งอาจอยู่ไกลถึง 500,000 เท่า ของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ด้วย ดวงอาทิตย์มีมวล มากกว่าร้อยละ 99 ของ มวลทั้งหมดในระบบสุริยะ ที่เหลือ
        นอกนั้นจะเป็นมวลของ เทหวัตถุต่างๆ ซึ่ง ประกอบด้วยดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอุกกาบาต รวมไปถึงฝุ่นและก๊าซ ที่ล่องลอยระหว่าง ดาวเคราะห์ แต่ละดวง โดยมีแรงดึงดูด (Gravity) เป็นแรงควบคุมระบบสุริยะ ให้เทหวัตถุบนฟ้าทั้งหมด เคลื่อนที่เป็นไปตามกฏแรง แรงโน้มถ่วงของนิวตัน ดวงอาทิตย์แพร่พลังงาน ออกมา ด้วยอัตราประมาณ 90,000,000,000,000,000,000,000,000 แคลอรีต่อวินาที เป็นพลังงานที่เกิดจากปฏิกริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ โดยการเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม ซึ่งเป็นแหล่งความร้อนให้กับดาว ดาวเคราะห์ต่างๆ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์ จะเสียไฮโดรเจนไปถึง 4,000,000 ตันต่อวินาทีก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีความเชื่อว่าดวงอาทิตย์ จะยังคงแพร่พลังงานออกมา ในอัตรา ที่เท่ากันนี้ได้อีกนานหลายพันล้านปี


        ชื่อของดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวงยกเว้นโลก ถูกตั้งชื่อตามเทพของชาวกรีก เพราะเชื่อว่าเทพเหล่านั้นอยู่บนสรวงสวรค์ และเคารพบูชาแต่โบราณกาล ในสมัยโบราณจะรู้จักดาวเคราะห์เพียง 5 ดวงเท่านั้น(ไม่นับโลกของเรา) เพราะสามารถเห็นได้ ด้วยตาเปล่าคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ประกอบกับดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ รวมเป็น 7 ทำให้เกิดวันทั้ง 7 ในสัปดาห์นั่นเอง และดาวทั้ง 7 นี้จึงมีอิทธิกับดวงชะตาชีวิตของคนเราตามความเชื่อถือทางโหราศาสตร์ ส่วนดาวเคราะห์อีก 3 ดวงคือ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ดาวพลูโต ถูกคนพบภายหลัง แต่นักดาราศาสตร์ก็ตั้งชื่อตามเทพของกรีก เพื่อให้สอดคล้องกันนั่นเอง

ดาวเทียมสื่อสาร


                  ดาวเทียมสื่อสารเป็นดาวเทียมที่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าทำงานตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุด เพื่อที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายการสื่อสารของโลกเข้าไว้ด้วยกัน นับตั้งแต่ NASA ส่งดาวเทียมสื่อสารเข้าสู่วงโคจรไป จนปัจจุบันมีบริษัทเอกชนจำนวนมากที่เข้ามาบุกเบิกธุรกิจ และทำกำไรมหาศาล จากประโยชน์ต่างๆ ที่ได้จากดาวเทียม
       ดาวเทียมสื่อสารเมื่อถูกส่งเข้าสู่วงโคจร มันก็พร้อมที่จะทำงานได้ทันที มันจุส่งสัญญาณไปยังสถานีภาคพื้นดิน สถานีภาคพื้นดินจะรับสัญญาณโดยใช้อุปกรณ์ ที่เรียกว่า "Transponder" ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่พักสัญญาณ แล้วกระจายสัญญาณไปยังจุดรับสัญญาณต่างๆ บนพื้นโลก ดาวเทียมสื่สารสามารถส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์ ข้อมูลต่างๆ รวมถึงสัญญาณภาพโทรทัศน์ได้ไปยังทุกหนทุกแห่ง

            วิธีการทำงาน
       
เนื่องจากดาวเทียมสื่อสารเป็นดาวเทียมที่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการหยุด ดาวเทียมสื่อสารจึงถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ให้สามารถใช้งานในอวกาศได้ประมาณ 10 - 15 ปี โดยที่ดาวเทียมต้องสามารถโคจร และรักษาตำแหน่งให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องได้ตลอดเวลา ดาวเทียมสื่อสารทำงานโดยอาศัยหลักการส่งผ่านสัญญาณถึงกันระหว่างสถานีภาคพื้นดินและ ดาวเทียม ซึ่งมีการทำงาน ดังนี้

       1. ภาคอวกาศ (Space Segment)
ประกอบด้วยตัวดาวเทียม ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้           1.1 ระบบขับเคลื่อนตัวดาวเทียม (Propulsion Subsystem) โดยจะใช้ก๊าซ หรือพลังงานความร้อนจากไฟฟ้าเพื่อให้เกิดแรงผลักดัน หรือแรงกระตุ้นเพื่อให้เกิดการหมุนและรักษาตำแหน่งของดาวเทียม
           1.2 ระบบควบคุมตัวดาวเทียม (Spacecraft Control Subsystem) เพื่อรักษาสมดุลในการทรงตัวของดาวเทียมเพื่อไม่ให้ดาวเทียมหลุดลอย ไปในอวกาศหรือถูกแรงดึงดูดของโลกดึงให้ตกลงมาบนพื้นโลก
           1.3 ระบบอุปกรณ์สื่อสาร (Electronic Communication Subsystem) เนื่องจากดาวเทียมสื่อสารส่วนใหญ่จะมีทรานสปอนเดอร์ (Transponder) หรือช่องสัญญาณดาวเทียมทำหน้าที่รับสัญญาณจากสถานีส่งภาคพื้นดินแล้วแปลงความถี่ของสัญญาณดังกล่าวให้เป็นความถี่ขาลง (Downlink Frequency) พร้อมทั้งขยายสัญญาณดังกล่าวเพื่อให้สามารถส่งกลับสู่สถานีภาคพื้นดินได้
           1.4 ระบบพลังงานไฟฟ้า (Electrical Power Subsystem) ดาวเทียมสื่อสารทุกดวงจะมีแผงเซลล์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์สื่อสาร และภาคควบคุมต่างๆ บนดาวเทียม นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Battery) เพื่อสำรองไว้ใช้งานอีกด้วย
           1.5 ระบบสายอากาศ (Antenna Subsystem) จานสายอากาศบนตัวดาวเทียม จะทำหน้าที่รับสัญญาณจากสถานีภาคพื้นดิน โดยใช้จานสายอากาศส่วนใหญ่เป็นแบบ Paraboloid มีการส่ง สัญญาณเป็นชนิดที่มีการกำหนดทิศทาง (Directional Beam)
            1.6 ระบบติดตามและควบคุม (TT&C Telemetry Tracking and Command Subsystem) ใช้ติดตามการทำงานของดาวเทียมและควบคุมรักษาตำแหน่งของดาวเทียมให้โคจรอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เสมอ จากสถานีควบคุมภาคพื้นดิน (Master Earth Station)

             2. ภาคพื้นดิน (Ground Segment) : สถานีดาวเทียมภาคพื้นดิน (Satellite Earth Station) ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ๆ คือ          2.1 อุปกรณ์จานสายอากาศ (Antenna Subsystem) ต้องมีความสามารถในการรวมพลังงานไปในทิศทางที่ตรงกับดาวเทียม
และต้องมีความสามารถในการรับสัญญาณจากดาวเทียมได้
          2.2 ภาคอุปกรณ์สัญญาณวิทยุ (Radio Frequency Subsystem) ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณความถี่วิทยุที่ใช้งานเป็นหลัก
          2.3 ภาคอุปกรณ์แปลงสัญญาณวิทยุ (RF/IF Subsystem) ประกอบด้วย
                   1) Up Converter Part ทำหน้าที่แปลงย่านความถี่ IF ซึ่งรับจาก Satellite Modem ให้เป็นความถี่ย่านที่ใช้งานกับระบบดาวเทียมต่าง ๆ จากนั้นส่งสัญญาณที่แปลงความถี่แล้วไปให้ภาคขยายสัญญาณย่านความถี่สูง เพื่อส่งสัญญาณไปยังดาวเทียม
                  2) Down Converter Part ทำหน้าที่แปลงความถี่ของสัญญาณ ที่ได้รับจากดาวเทียมในย่านความถี่ของดาวเทียมไปเป็นความถี่ย่าน
IF เพื่อส่งต่อให้แก่ภาค Demodulator ของ Satellite Modem
          2.4 อุปกรณ์ Modem (Modulator / Demodutator) ทำหน้าที่แปลงข้อมูลที่ต้องการส่งผ่านระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมให้อยู่ในรูปของ สัญญาณคลื่นวิทยุที่มีข้อมูลผสมอยู่ให้ได้เป็นข้อมูลที่สามารถนำไปใช้งานต่อไป
         วิถีการโคจร
        ดาวเทียมสื่อสารโคจรเป็นวงกลมในแนวระนาบกับเส้นศูนย์สูตร หรือที่เรียกว่า "วงโคจรค้างฟ้า (Geostationary Orbit)"



           ประโยชน์ที่ได้รับ
        ด้านการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคมทางด้านต่างๆ เช่น ทางด้านสัญญาณโทรทัศน์ สัญญาณโทรศัพท์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์

       ตัวอย่างดาวเทียมสื่อสาร        ดาวเทียม Thaicom 1 และ 2 เป็นดาวเทียมสื่อสารชุดแรกของประเทศไทย ถูกส่งขึ้นไปโคจรในปี พ.ศ. 2536 และ 2537 ตามลำดับ เพื่อให้บริการทางด้านการสื่อสารมีรัศมีการให้ บริการครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย และภูมิภาคใกล้เคียง


      ดาวเทียม Thaicom 3 เป็นดาวเทียมสื่อสารอีกดวงหนึ่งของประเทศไทย ถูกส่งขึ้นไปโคจรในปี พ.ศ. 2540 เพื่อให้บริการทางด้านการสื่อสาร มีรัศมีการให้บริการครอบคลุมทั่วทั้ง 4 ทวีป






 ดาวเทียมสื่อสาร



















































 

คลองวัดหัวกระบือ

อาหารไทย ภาค อีสาน

แต่สำหรับ “ผู้จัดการตระเวนกิน” แล้วถึงฝนจะตก ฟ้าจะร้องเราก็ยังชอบที่จะออกจากบ้าน เพื่อเดินทางไปตระเวนกินอาหาร ที่ใจปรารถนาอยากจะไปกินกัน อย่างในมื้อนี้ เมื่อเราเกิดนึกอยากกินทั้งอาหารเวียดนาม และอาหารไทยขึ้นมาพร้อมๆ กัน เราก็รีบขับรถฝ่าสายฝนพรำตรงดิ่งมายังซ.เสนานิคม 1 เพราะว่าสืบเสาะรู้มาว่าที่ซอยเสนาฯ นี้มีร้านอาหารชื่อว่า ”บ้านสีเขียว” ที่หากมาที่ร้านนี้เพียงที่เดียว ก็จะได้อิ่มกับทั้งอาหารเวียดนามรสดี ที่กินดีต่อสุขภาพ และยังจะได้ลิ้มรสชาติกับ อาหารไทย-อีสาน อันจัดจ้านชวนกิน

แหนมเนือง
       เรามาถึงร้านบ้านสีเขียว พร้อมกับสายฝนที่หยุดตกพอดี หลังจากที่เดินปรี่หาที่นั่งในมุมสบายได้แล้ว เราก็รีบขอเมนูมาเปิดสั่งอาหารกันทันที ซึ่งเราเลือกที่กินทั้งอาหารเวียดนาม และอาหารไทย-อีสานมากินกันแบบให้สมใจอยาก เริ่มจากขอสั่งเมนูเวียดนาม จานเด่นของที่นี่ มากินกันก่อนเลย คือ แหนมเนือง (70, 100, 160 บาท) ที่เสิร์ฟมาเป็นชุดพร้อมสรรพ มีหมูบดละเอียดปรุงรสชาติปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วเสียบไม้ย่างด้วยเตาถ่าน ได้หมูหอมๆ รสดีนำมาห่อกินกับแผ่นแป้ง ใส่เครื่องเคียงสารพัด และห่อใส่ผักสดๆ แล้วราดด้วยน้ำจิ้มสูตรเด็ด ที่ทางร้านจะใส่ข้าวเหนียวลงไปด้วยในน้ำจิ้ม เพื่อเพิ่มความเข้มข้น เมื่อห่อแหนมเนืองได้คำโต ก็ส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมคำใหญ่ สัมผัสได้ถึงแผ่นแป้งเนื้อบางเหนียวนุ่ม เนื้อหมูนิ่มๆ ออกรสเข้มข้น กลมกล่อมเข้ากันกับน้ำจิ้มรสเข้มข้นออกหวานนำ เจือเผ็ดนิดหน่อยถูกปากนักเชียว และกินแนมกับผักสดๆ หลากชนิดที่ใส่มาเต็มตะกร้า

ปอเปี๊ยะทอดทะเล
       ถัดมาเป็นอีกหนึ่งเมนูเวียดนามที่ขายดี ปอเปี๊ยะทอดทะเล (70 บาท) เป็นแผ่นแป้งปอเปี๊ยะญวนห่อกับไส้ปรุงรสที่มีวุ้นเส้น หอมใหญ่ ถั่วงอก เนื้อกุ้งและเนื้อปลาหมึกบด ห่อม้วนเป็นโรลแล้วทอดจนเหลืองกรอบ มาพร้อมกับน้ำจิ้มรสเด็ดที่ทางร้านทำเอง ตักชิ้นปอเปี๊ยะร้อนๆ ราดด้วยน้ำจิ้มแล้วก็ส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมคำโต แผ่นแป้งปอเปี๊ยะเคี้ยวดังกรุบกรอบ ได้รสชาติของไส้ที่กลมกล่อมบวกกับรสชาติน้ำจิ้มหวานๆ ถูกปากดีแท้

ยำหมูยอ
       ยำหมูยอ (70 บาท) เมนูนี้อาจดูเป็นเมนูธรรมดาๆ แต่ถ้าได้ลองลิ้มรสชาติแล้วจะรู้ว่าไม่ธรรมดาเลย เพราะหมูยอนั้นเป็นหมูยอหนังรสดี ที่ทางร้านสั่งตรงมาจากหนองคายโดยเฉพาะ นำมายำปรุงรสแซบเด็ด กินแล้วเคี้ยวสัมผัสได้ถึงหมูยอเนื้อนุ่มไม่แข็ง แถมยังมีหนังหมูให้เคี้ยวมันกรึบๆ ปาก

ข้าวเหนียวไก่ทอด
       จากอาหารเวียดนามสลับรสชาติมากินอาหารไทย-อีสาน กันบ้าง มีเมนูกินง่ายๆ ที่ผู้ใหญ่กินได้ เด็กกินดี อย่างข้าวเหนียวไก่ทอด (60 บาท) ชวนให้ลิ้มลอง มีข้าวเหนียวนึ่งปั้นเป็นลูกกลมๆ ไปชุบไข่ปรุงรสถึง 2 รอบแล้วทอดจนเหลืองกรอบ กินข้าวเหนียวทอดร้อนๆ เคี้ยวกรอบนอกแต่เนื้อในนุ่มเหนียวได้รสชาติ กินคู่กับไก่ทอดกรอบ ที่หมักรสชาติได้ถึงเครื่องเข้มข้นถูกปาก

ต้มยำกุ้งมะพร้าวน้ำหอม
       ส่งท้ายด้วยเมนูที่เหมาะแก่การสั่งมาซดน้ำให้คล่องคอ ที่ถ้าใครชอบต้มยำกุ้งเป็นทุนเดิม ขอบอกให้ลองชิม ต้มยำกุ้งมะพร้าวน้ำหอม (ถ้วย 95 บาท หม้อไฟ 160 บาท) ดูแล้วจะติดใจ เป็นต้มยำกุ้งน้ำข้นครบเครื่องต้มยำ ที่ใส่กุ้งก้ามกรามตัวโต และทางร้านเลือกที่จะใส่เนื้อมะพร้าวน้ำหอม และน้ำมะพร้าวลงไปด้วย เพื่อเพิ่มรสชาติความหอมหวาน และความกลมกล่อมที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ซดน้ำต้มยำร้อนๆ ผ่านลำคอ ลงไปสัมผัสได้ถึงรสชาติต้มยำกุ้ง ที่เข้มข้นจัดจ้านถึงใจ

มุมสวนเล็กๆ หน้าร้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวดูสดชื่น
       ทั้งหมดนี้คือเมนูจานเด็ดที่เราได้ลิ้มลองในมื้อนี้ แต่ถ้าหากใครมากินแล้วอยากจะลองลิ้มรสชาติเมนูอื่นๆ บ้างก็ไม่ว่ากัน เพราะว่ายังมีเมนูที่ชวนกินอีกมาก อาทิ กุ้งพันอ้อย (80 บาท) คอหมูย่าง (65 บาท) ต้มส้มไก่บ้านใบมะขามอ่อน (70, 120 บาท) ปลาสำลีทรงเครื่อง (160-220 บาท) กุ้งอบวุ้นเส้น (80 บาท) และอีกหลากหลายเมนูเวียดนาม ไทย-อีสาน ที่ชวนให้สั่งมานั่งกินท่ามกลางบรรยากาศร้านที่ชวนนั่ง ที่เน้นความโล่ง โปร่งสบายๆ และได้สัมผัสกับสายลมเย็นๆ จากธรรมชาติ อีกทั้งทางร้านยังเลือกที่จะปลูกต้นไม้สีเขียวๆ รายล้อมรอบร้าน ช่วยเพิ่มความสดชื่นสบายตา และสร้างความร่มรื่น ให้กับบรรยากาศการนั่งกินอาหารที่ร้าน “บ้านสีเขียว”
      

สัตว์ทะเล

โอ่งมังกรราชบุรี

โอ่งมังกร"ราชบุรี"ยังคงเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือเหลือแค่ตำนาน


"โอ่งมังกร"สัญญาลักษณ์โดดเด่นอย่างหนึ่งของชาวจังหวัดราชบุรี  ซึ่งนับเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น หรืออุตสาหกรรมพื้นบ้านที่คนราชบุรีภาคภูมิใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ในคำขวัญ"เมืองโอ่งมังกร"
ตั้งแต่ตอนเราเด็กๆยังจำได้ว่า มีโอ่งมังกรไว้รองรับน้ำฝนกันทุกบ้าน บางบ้านใช้ใบเล็กเก็บข้าวสาร เป็นไหน้ำปลา หรือไหดองผัก ถือเป็นภาชนะหลักในการเก็บน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม  หรือน้ำใช้  ในห้องน้ำบ้านเราเราก็มีโอ่งน้ำไว้ตักอาบ ยังไม่มีฝักบัว หรือถังพลาสติกเหมือนในปัจจุบัน
 "โอ่งมังกร"อุตสาหกรรมพื้นบ้านที่สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดราชบุรี
จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านว่าสมัยก่อนโอ่งที่ใช้กักเก็บน้ำชั้นดี  ต้องนำเข้ามาจากประเทศจีนทั้งนั้น  แต่เนื่อจากภาวะสงครามโลกคร้งที่ 2 เป็นต้นมา สินค้าจากต่างประเทศหลายอย่างไม่สามารถนำเข้าประเทศได้จึงจำเป็นต้องผลิตกันเอง
และถ้าย้อนอดีต จากคำบอกเล่าของลูกหลาน ทายาทเจ้าของโรงโอ่ง ตั้งแต่ พ.ศ.2476 นายซ่งฮง แซ่เตีย และนายจือเหม็ง แซ่อึ้ง สองสหายที่เคยทำเครื่องปั้นดินเผาที่เมืองป้งโคย ประเทศจีน  อพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย  ได้มาพบแหล่งดิน ที่จ.ราชบุรี และเห็นว่าเป็นดินที่ใช้ในการปั้นโอ่งได้  จึงเป็นที่มาของโรงโอ่ง"เถ้าแซไถ่" และโรงโอ่ง"เถ้าฮงไถ่"ผลิตโอ่งลายมังกรในเวลาต่อมา


"โอ่งราชบุรี ทำไมต้องมีลายมังกร"
แต่เดิมที่ทำกันเป็นโอ่งที่ไม่มีลวดลายใดๆ เรียกว่า "โอ่งเลี่ยน" จากการที่ต้นกำเนิดโอ่งมาจากชายจีน 2 ท่านดังกล่าว เมื่อครึ่งศตวรรษมาแล้วลูกหลานจึงได้คัดเลือกลวดลายที่เป็นมงคลขึ้น  เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้ใช้  นอกเหนือจากการพัฒนาคิดหาความงดงามเพียงอย่างเดียว  แน่นอน ในที่สุดก็เลือกสรรลวดลาย"มังกร"ขึ้น  ตามคติความเชื่อในวัฒนธรรมของจีน
มังกร(Dragon) เป็นสัตว์ชั้นสูง ในแต่ละประเทศก็จะมีตำนานของตัวเอง  แล้วแต่ความเชื่อบ้านเราเรียกว่า "พญานาค"  จะผิดแผกแตกต่างกันไปบ้างก็คงเป็นที่รูปร่าง หน้าตา ชื่อ และความเชื่อ  มีหนังสือตำราพิชัยสงครามกล่าวถึง มังกร ในการจัดขบวนทัพข้ามน้ำเรียกว่า "มังกรพยุหะ"  มีการเขียนรูปมังกร คล้ายพญานาค  เพียงแต่เพิ่มเขาและเท้าเข้าไป  บางตัวมีเกล็ด บางตัวมีลายแบบงู
จีนแบ่งมังกรออกเป็น 3 ชนิด คือ   
1.หลง        เป็นพวกที่มีอำนาจมากที่สุด ชอบอยู่บนฟ้า
2.หลี         เป็นพวกไม่มีเขา   ชอบอยู่ในมหาสมุทร
3.เจียว      เป็นพวกมีเกล็ด  อยู่ตามแม่น้ำ ลุ่มหนอง คลองหรือถ้ำ
มังกรของจีน  จัดให้มีระดับ  และหน้าที่แตกต่างกันไปด้วย คือ
1. มังกรฟ้า หรือ มังกรสวรรค์ (เทียนหลง) เป็นมังกรชั้นสูง มีหน้าที่คุ้มครอง ดูแลสวรรค์
2. มังกรเทพเจ้า หรือมังกรจิตวิณญาณ (เซินหลง) มีหน้าที่ทำให้เกิด ลม ฝน แก่มวลมนุษย์
3.มังกรพิภพ (ตี้หลง) มีหน้าที่กำหนดเส้นทาง ดูแล แม่น้ำ ลำธาร ห้วยหนอง คลองบึง
4.มังกรเฝ้าทรัพย์ (ฝู ซาง หลง) มีหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ของแผ่นดิน
ลักษณะของมังกร
โดยทั่วไปในลวดลายของโอ่งลายมังกร จะมีเพียง 3 เล็บ หรือ 4 เล็บ  แต่ถ้าเป็นมังกร สัญญลักษณ์ชั้นสูง ของกษัตริย์ หรือ ฮองเต้ จะมี 5 เล็บ
 เมื่อกล่าวถึง"มังกร"ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เป็นมงคล  เป็นความยิ่งใหญ่ จึงได้มีการวาดโอ่งลวดลายมังกร  เพื่อเป็นศิริมงคล ความชื่นชมชื่นชอบของผู้ใช้
แต่ปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดาย  โลกเปลี่ยนแปลงไป  ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนั้น นำความเจริญของวัตถุนิยม  ทุนนิยม ความไม่สะดวก หรือ จะเชยล้าสมัย ตามคำกล่าวอ้าง  จะมีซักกี่บ้านกี่เรือนในปัจจุบันที่ยังนิยมใช้โอ่งลายมังกร ไว้เป็นภาชนะเก็บกักน้ำ แม้ว่าลูกหลาน  ทายาทของผู้เฒ่าจีนเหล่านั้น  พยายามเปลี่ยนแปลง พัฒนา รูปแบบ จากดินเผา เป็นเซรามิคซึ่งยังคงลวดลายมังกรที่ยิ่งใหญ่เพื่อความอยู่รอดของโรงงานตามแนวบรรพบุรุษ 
โลกที่เปลี่ยนไป  การทำโอ่งลายมังกร ซึ่งเป็นโอ่งมังกรลายเดิมๆ แบบเดิมๆนั้นจะยังคงเหลือให้เป็นความภูมิใจของลูกหลานชาวจังหวัดราชบุรีได้อีกซักกี่รุ่น  หรือต่อไปจะคงเหลือแค่ตำนานไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง

ยาเสพติด




 

ประวัติยาเสพติดในประเทศไทย

 

          ยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาของชาติอยู่ในขณะนี้   มีประวัติความเป็นมาอย่างไรเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะมนุษย์ได้เกี่ยวข้องกับ
ยาเสพติดมาเป็นเวลาช้านาน  บางชนิดก็ให้ทั้งคุณประโยชน์และโทษ  บางชนิดก็มีแต่โทษภัยเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมียาเสพติดชนิด
ต่าง ๆ ในท้องตลาดมากกว่า 120 ชนิด อย่างไรก็ตามยาเสพติดชนิดแรกที่คนไทยรู้จักก็คือ เป็นยาเม็ดกลมแบน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
ประมาณ 8-9 มิลลิเมตร หนาประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มีหลากหลายสี และหลากหลายสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนเม็ดยา

   
          
ฝิ่นเข้ามาในประเทศไทยในสมัยใดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด  เท่าที่มีหลักฐานครั้งแรก  เป็นประกาศใช้กฎหมายลักษณะโจร ในสมัย รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)  ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา  เมื่อ พ.ศ. 1903 หรือ ประมาณ 600 ปีล่วงมาแล้ว
ตามกฎหมายฉบับนี้   ได้บัญญัติการห้ามซื้อ  ขาย  เสพฝิ่นไว้ว่า
       
          "ผู้สูบฝิ่น กินฝิ่น ขายฝิ่นนั้น  ให้ลงพระราชอาญาจงหนักหนา ริบราชบาทว์ให้สิ้นเชิง  ทเวนบกสามวัน  ทเวนเรือสามวัน  ให้จำใส่คุกไว้จนกว่าจะอดได้ ถ้าอดได้แล้วเรียกเอาทานบนแก่มันญาติพี่น้องไว้แล้ว  จึงให้ปล่อยผู้สูบ  ขาย  กินฝิ่น  ออกจากโทษ"  

          แม้ว่าบทลงโทษจะสูง  แต่การลักลอกซื้อขายและเสพฝิ่น ก็ยังมีต่อมาโดยตลอด   กฎหมายคงใช้ได้แต่ในกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น  
ส่วนหัวเมือง และ เมืองขึ้นที่ห่างพระเนตรพระกรรณ ไม่มีการเข้มงวดกวดขันซึ่งปรากฎว่า ผู้ครองเมืองบางแห่งก็ติดฝิ่น  และ  ผูกขาดการ
จำหน่ายฝิ่นเสียเองด้วย   เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาการขายฝิ่น เสพฝิ่น จึงเลิกไม่ได้ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา
  
          
ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงแจกกฎหมายป่าวร้องห้ามปรามผู้ขาย  ผู้สูบฝิ่นแต่ก็ยังไม่มีผล   ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย   จึงได้ทรงตราพระราชกำหนดโทษให้สูงขึ้นไปอีก   โดย

        "ห้ามอย่าให้ผู้ใดสูบฝิ่น   กินฝิ่น   ซื้อฝิ่นขายฝิ่น  และ เป็นผู้สมซื้อสมขายเป็นอันขาดทีเดียวถ้ามิฟังจับได้ และมีผู้ร้องฟ้อง
พิจารณาเป็น สัจจะให้ลงพระอาญา  เฆี่ยน 3 ยก  ทเวนบก 3 วัน  ทเวนเรือ 3 วัน  ริบราชบาทว์ บุตรภรรยา  และ ทรัพย์สิ่งของให้สิ้นเชิง
ให้ส่งตัว ไปตะพุ่นหญ้าช้าง ผู้รู้เห็นเป็นใจมิได้เอาความมาว่ากล่าว จะให้ลง พระอาญาเฆี่ยน 60 ที"
   
         
ในรัชกาลที่ 3 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะที่ตรงกับสมัยที่อังกฤษนำฝิ่นจากอินเดีย ไปบังคับขาย ให้จีนทำ
ให้มีคนจีนติดฝิ่นเพิ่มขึ้น  และ ในช่วงเวลานั้น   ตรงกับระยะที่คนจีนเข้ามาค้าขายในเมืองไทยมากขึ้น   จึงเป็นการนำการใช้ฝิ่นและผู้ติดฝิ่น
เข้ามาในเมืองไทย  ตลอดจนมีการลักลอบนำฝิ่นเข้ามาในเมืองไทยด้วยเรือสินค้าต่าง ๆ  มาก จึงเป็นเหตุให้การเสพฝิ่นระบาดยิ่งขึ้น พระองค์
์จึงได้ทรงมีบัญชาให้มีการปราบปรามอย่างเข้มงวดกวดขันในปี พ.ศ. 2382  ทำให้การค้าฝิ่น และสิ่งอื่น ๆ ที่ผิดกฎหมายเข้าไปอยู่ในมือ
ของกลุ่มอั้งยี่ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ  และหัวเมืองชายทะเล  สร้างความวุ่นวายจากการทะเลาะวิวาทระหว่างกลุ่มอั้งยี่ต่าง ๆจนต้องทำ
ให้ทหารปราบปราม

          ในสมัยรัชกาลที่ 4  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงเห็นว่าการปราบปรามไม่สามารถขจัดปัญหาการสูบ และขายฝิ่นได้
และก่อให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวายขึ้น  จึงทรงเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้คนจีนเสพและขายฝิ่นได้ตามกฎหมาย แต่ต้องเสียภาษีผูกขาด
มีนายภาษีเป็นผู้ดำเนินการ ปรากฏว่าภาษีฝิ่นทำรายได้ให้แก่ประเทศไทยมาก ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมไว้ในหนังสือ
ลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ใน "ตำนานภาษีฝิ่น"  ว่าภาษีที่ได้นั้นประมาณว่าถึงปีละ 4 แสนบาท  สูงเป็นอันดับที่ 5 ของรายได้ประเภทต่าง ๆ
และได้มีความพยายามห้ามคนไทยไม่ให้เสพฝิ่น แต่ก็ไม่ได้ผลเต็มที่

          ใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติซึ่งปกครองประเทศไทยอยู่ในขณะนั้นได้พิจารณาเห็นว่า การเสพฝิ่นเป็นที่รังเกียจใน วงการสังคม และเป็นอันตรายแก่สุขภาพและอนามัยอย่างร้ายแรง ประเทศต่าง ๆ ได้พยายามเลิกการเสพฝิ่นโดยเด็ดขาดแล้ว จึงเห็นเป็นการสมควรให้เลิก
การเสพฝิ่น  และ  จำหน่ายฝิ่นในประเทศไทย  จึงมีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 37  ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2501 ให้เลิกการเสพฝิ่นและ  จำหน่าย
ทั่วราชอาณาจักร  และ กำหนดดำเนินการให้เสร็จสิ้นเด็ดขาดภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2502 โดยกำหนดการตามลำดับดังนี้

          1. ประกาศให้ผู้เสพฝิ่นขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตให้เสพฝิ่นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2501
          2. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2502 ห้ามมิให้ร้านฝิ่นจำหน่ายฝิ่นแก่ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตให้สูบฝิ่น
          3. ยุบเลิกร้านจำหน่ายฝิ่นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2502
          4. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันจัดตั้งสถานพยาบาล และพักฟื้นผู้อดฝิ่น
          5. ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2502 ผู้กระทำผิดฐานเสพฝิ่นหรือมูลฝิ่น  

        นอกจากนี้ยังได้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยฝิ่น   เพิ่มโทษผู้ละเมิดให้สูงขึ้น  ซึ่งได้ประกาศใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2502 เป็นต้นมา  
จากประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวข้างต้น  เป็นอันว่านับแต่รุ่งอรุณ  ของวันที่ 1 กรกฎาคม 2502 การเสพ  และจำหน่ายฝิ่นในประเทศไทย
ก็เป็นสิ่งผิดกฎหมาย นอกจากรัฐบาลจะได้จัดให้ผู้ติดฝิ่นเข้ารับการบำบัดรักษา และฟื้นฟูแล้ว ปรากฏว่าการปราบปรามก็ได้กระทำเด็ดขาด
ยิ่งขึ้น มีการประหารชีวิตผู้ผลิต และ ค้ายาเสพติด   แต่ปัญหายาเสพติดไม่ได้ลดลง เพียงแต่การซื้อขายมีการดำเนินการซ่อนเร้น  และมีวิธีการ
ที่ลึกซึ้งแยบยลยิ่งขึ้น  

        นอกจากนี้ตัวยาเสพติด   ได้เปลี่ยนรูปไปเป็นเฮโรอีน ซึ่งผลิตด้วยการเปลี่ยนตัวยาสำคัญในฝิ่น คือ มอร์ฟีน ด้วยวิธีทางเคมีเป็น ยาเสพติดที่มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าฝิ่นก็กลับระบาดในเมืองไทย พบครั้งแรกราวเดือนกันยายน พ.ศ. 2502 เฮโรอีนได้ระบาดในหมู่ติดฝิ่นอยู่เดิม เพราะสูบได้ง่ายใช้เผาในกระดาษตะกั่วแล้วสูดไอไม่ต้องมีบ้องฝิ่น และไม่มีกลิ่นเวลาสูบ การหลบหนีกฎหมายก็ทำได้ง่ายกว่าการสูบฝิ่น

         ปัจจุบัน ปัญหายาเสพติดที่ปรากฏอยู่ในหมู่คนไทยมีรูปแบบต่าง ๆ กันและลักษณะปัญหาแตกต่างกันออกไป ชาวไทยภูเขาที่อาศัย
ในภาคเหนือของประเทศไทย  ส่วนหนึ่งมีอาชีพหลักในการปลูกฝิ่น และมีจำนวนไม่น้อยที่สูบและติดฝิ่นด้วยในหมู่ชาวไทยในชนบทพื้นราบ
ก็มีการสูบฝิ่น ใช้ใบกระท่อม กัญชา ยาม้าหรือยาขยันและยาแก้ปวด อยู่อย่างแพร่หลาย ปัญหาที่ร้ายแรงตามมาคือการแพร่ระบาดของการ
ติดยาเสพติดหลายชนิดปนกันอยู่ในขณะนี้ทั้งในต่างจังหวัดและในเขต กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะ ยาม้าหรือยาบ้า ได้แพร่ระบาดเข้าไป
ในแทบทุกชุมชน และหมู่บ้านซึ่งนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้ที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ไข 

 
     




ประวัติยาเสพติดในประเทศไทย

 

          ยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาของชาติอยู่ในขณะนี้   มีประวัติความเป็นมาอย่างไรเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะมนุษย์ได้เกี่ยวข้องกับ
ยาเสพติดมาเป็นเวลาช้านาน  บางชนิดก็ให้ทั้งคุณประโยชน์และโทษ  บางชนิดก็มีแต่โทษภัยเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมียาเสพติดชนิด
ต่าง ๆ ในท้องตลาดมากกว่า 120 ชนิด อย่างไรก็ตามยาเสพติดชนิดแรกที่คนไทยรู้จักก็คือ เป็นยาเม็ดกลมแบน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
ประมาณ 8-9 มิลลิเมตร หนาประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มีหลากหลายสี และหลากหลายสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนเม็ดยา

   
          
ฝิ่นเข้ามาในประเทศไทยในสมัยใดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด  เท่าที่มีหลักฐานครั้งแรก  เป็นประกาศใช้กฎหมายลักษณะโจร ในสมัย รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)  ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา  เมื่อ พ.ศ. 1903 หรือ ประมาณ 600 ปีล่วงมาแล้ว
ตามกฎหมายฉบับนี้   ได้บัญญัติการห้ามซื้อ  ขาย  เสพฝิ่นไว้ว่า
       
          "ผู้สูบฝิ่น กินฝิ่น ขายฝิ่นนั้น  ให้ลงพระราชอาญาจงหนักหนา ริบราชบาทว์ให้สิ้นเชิง  ทเวนบกสามวัน  ทเวนเรือสามวัน  ให้จำใส่คุกไว้จนกว่าจะอดได้ ถ้าอดได้แล้วเรียกเอาทานบนแก่มันญาติพี่น้องไว้แล้ว  จึงให้ปล่อยผู้สูบ  ขาย  กินฝิ่น  ออกจากโทษ"  

          แม้ว่าบทลงโทษจะสูง  แต่การลักลอกซื้อขายและเสพฝิ่น ก็ยังมีต่อมาโดยตลอด   กฎหมายคงใช้ได้แต่ในกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น  
ส่วนหัวเมือง และ เมืองขึ้นที่ห่างพระเนตรพระกรรณ ไม่มีการเข้มงวดกวดขันซึ่งปรากฎว่า ผู้ครองเมืองบางแห่งก็ติดฝิ่น  และ  ผูกขาดการ
จำหน่ายฝิ่นเสียเองด้วย   เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาการขายฝิ่น เสพฝิ่น จึงเลิกไม่ได้ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา
  
          
ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงแจกกฎหมายป่าวร้องห้ามปรามผู้ขาย  ผู้สูบฝิ่นแต่ก็ยังไม่มีผล   ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย   จึงได้ทรงตราพระราชกำหนดโทษให้สูงขึ้นไปอีก   โดย

        "ห้ามอย่าให้ผู้ใดสูบฝิ่น   กินฝิ่น   ซื้อฝิ่นขายฝิ่น  และ เป็นผู้สมซื้อสมขายเป็นอันขาดทีเดียวถ้ามิฟังจับได้ และมีผู้ร้องฟ้อง
พิจารณาเป็น สัจจะให้ลงพระอาญา  เฆี่ยน 3 ยก  ทเวนบก 3 วัน  ทเวนเรือ 3 วัน  ริบราชบาทว์ บุตรภรรยา  และ ทรัพย์สิ่งของให้สิ้นเชิง
ให้ส่งตัว ไปตะพุ่นหญ้าช้าง ผู้รู้เห็นเป็นใจมิได้เอาความมาว่ากล่าว จะให้ลง พระอาญาเฆี่ยน 60 ที"
   
         
ในรัชกาลที่ 3 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะที่ตรงกับสมัยที่อังกฤษนำฝิ่นจากอินเดีย ไปบังคับขาย ให้จีนทำ
ให้มีคนจีนติดฝิ่นเพิ่มขึ้น  และ ในช่วงเวลานั้น   ตรงกับระยะที่คนจีนเข้ามาค้าขายในเมืองไทยมากขึ้น   จึงเป็นการนำการใช้ฝิ่นและผู้ติดฝิ่น
เข้ามาในเมืองไทย  ตลอดจนมีการลักลอบนำฝิ่นเข้ามาในเมืองไทยด้วยเรือสินค้าต่าง ๆ  มาก จึงเป็นเหตุให้การเสพฝิ่นระบาดยิ่งขึ้น พระองค์
์จึงได้ทรงมีบัญชาให้มีการปราบปรามอย่างเข้มงวดกวดขันในปี พ.ศ. 2382  ทำให้การค้าฝิ่น และสิ่งอื่น ๆ ที่ผิดกฎหมายเข้าไปอยู่ในมือ
ของกลุ่มอั้งยี่ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ  และหัวเมืองชายทะเล  สร้างความวุ่นวายจากการทะเลาะวิวาทระหว่างกลุ่มอั้งยี่ต่าง ๆจนต้องทำ
ให้ทหารปราบปราม

          ในสมัยรัชกาลที่ 4  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงเห็นว่าการปราบปรามไม่สามารถขจัดปัญหาการสูบ และขายฝิ่นได้
และก่อให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวายขึ้น  จึงทรงเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้คนจีนเสพและขายฝิ่นได้ตามกฎหมาย แต่ต้องเสียภาษีผูกขาด
มีนายภาษีเป็นผู้ดำเนินการ ปรากฏว่าภาษีฝิ่นทำรายได้ให้แก่ประเทศไทยมาก ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมไว้ในหนังสือ
ลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ใน "ตำนานภาษีฝิ่น"  ว่าภาษีที่ได้นั้นประมาณว่าถึงปีละ 4 แสนบาท  สูงเป็นอันดับที่ 5 ของรายได้ประเภทต่าง ๆ
และได้มีความพยายามห้ามคนไทยไม่ให้เสพฝิ่น แต่ก็ไม่ได้ผลเต็มที่

          ใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติซึ่งปกครองประเทศไทยอยู่ในขณะนั้นได้พิจารณาเห็นว่า การเสพฝิ่นเป็นที่รังเกียจใน วงการสังคม และเป็นอันตรายแก่สุขภาพและอนามัยอย่างร้ายแรง ประเทศต่าง ๆ ได้พยายามเลิกการเสพฝิ่นโดยเด็ดขาดแล้ว จึงเห็นเป็นการสมควรให้เลิก
การเสพฝิ่น  และ  จำหน่ายฝิ่นในประเทศไทย  จึงมีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 37  ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2501 ให้เลิกการเสพฝิ่นและ  จำหน่าย
ทั่วราชอาณาจักร  และ กำหนดดำเนินการให้เสร็จสิ้นเด็ดขาดภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2502 โดยกำหนดการตามลำดับดังนี้

          1. ประกาศให้ผู้เสพฝิ่นขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตให้เสพฝิ่นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2501
          2. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2502 ห้ามมิให้ร้านฝิ่นจำหน่ายฝิ่นแก่ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตให้สูบฝิ่น
          3. ยุบเลิกร้านจำหน่ายฝิ่นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2502
          4. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันจัดตั้งสถานพยาบาล และพักฟื้นผู้อดฝิ่น
          5. ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2502 ผู้กระทำผิดฐานเสพฝิ่นหรือมูลฝิ่น  

        นอกจากนี้ยังได้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยฝิ่น   เพิ่มโทษผู้ละเมิดให้สูงขึ้น  ซึ่งได้ประกาศใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2502 เป็นต้นมา  
จากประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวข้างต้น  เป็นอันว่านับแต่รุ่งอรุณ  ของวันที่ 1 กรกฎาคม 2502 การเสพ  และจำหน่ายฝิ่นในประเทศไทย
ก็เป็นสิ่งผิดกฎหมาย นอกจากรัฐบาลจะได้จัดให้ผู้ติดฝิ่นเข้ารับการบำบัดรักษา และฟื้นฟูแล้ว ปรากฏว่าการปราบปรามก็ได้กระทำเด็ดขาด
ยิ่งขึ้น มีการประหารชีวิตผู้ผลิต และ ค้ายาเสพติด   แต่ปัญหายาเสพติดไม่ได้ลดลง เพียงแต่การซื้อขายมีการดำเนินการซ่อนเร้น  และมีวิธีการ
ที่ลึกซึ้งแยบยลยิ่งขึ้น  

        นอกจากนี้ตัวยาเสพติด   ได้เปลี่ยนรูปไปเป็นเฮโรอีน ซึ่งผลิตด้วยการเปลี่ยนตัวยาสำคัญในฝิ่น คือ มอร์ฟีน ด้วยวิธีทางเคมีเป็น ยาเสพติดที่มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าฝิ่นก็กลับระบาดในเมืองไทย พบครั้งแรกราวเดือนกันยายน พ.ศ. 2502 เฮโรอีนได้ระบาดในหมู่ติดฝิ่นอยู่เดิม เพราะสูบได้ง่ายใช้เผาในกระดาษตะกั่วแล้วสูดไอไม่ต้องมีบ้องฝิ่น และไม่มีกลิ่นเวลาสูบ การหลบหนีกฎหมายก็ทำได้ง่ายกว่าการสูบฝิ่น

         ปัจจุบัน ปัญหายาเสพติดที่ปรากฏอยู่ในหมู่คนไทยมีรูปแบบต่าง ๆ กันและลักษณะปัญหาแตกต่างกันออกไป ชาวไทยภูเขาที่อาศัย
ในภาคเหนือของประเทศไทย  ส่วนหนึ่งมีอาชีพหลักในการปลูกฝิ่น และมีจำนวนไม่น้อยที่สูบและติดฝิ่นด้วยในหมู่ชาวไทยในชนบทพื้นราบ
ก็มีการสูบฝิ่น ใช้ใบกระท่อม กัญชา ยาม้าหรือยาขยันและยาแก้ปวด อยู่อย่างแพร่หลาย ปัญหาที่ร้ายแรงตามมาคือการแพร่ระบาดของการ
ติดยาเสพติดหลายชนิดปนกันอยู่ในขณะนี้ทั้งในต่างจังหวัดและในเขต กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะ ยาม้าหรือยาบ้า ได้แพร่ระบาดเข้าไป
ในแทบทุกชุมชน และหมู่บ้านซึ่งนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้ที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ไข 

     

การตั้งครรภ์

การดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์


   การดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ ระหว่างการตั้งครรภ์ ร่างกายอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อาการแพ้ท้องจะมีมากใน 3 เดือนแรก
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เมื่อตื่นนอน จะมีอาการมึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน บางคนอาจมีอาการมาก
รับประทานอาหารไม่ได้ หลังตื่นนอนตอนเช้า ควรดื่มน้ำผลไม้ และรับประทานขนมปังกรอบทันที จะทำให้รู้สึกดีขึ้น
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุนจัด เพราะอาจทำให้คลื่นไส้มากขึ้น นอกจากนี้อาจอยากรับประทานอาหารแปลกๆ รสเปรี้ยว
ซึ่งสามารถรับประทานได้  อาการปวดหลังพบได้บ่อยเกือบครึ่งหนึ่งของสตรีมีครรภ์ โดยมักปวดที่หลังส่วนล่าง ระหว่างก้นทั้งสองข้าง
ร้าวลงไปที่ต้นขา มักเป็นช่วงท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ การยืนนานๆ ในท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือยกของหนักเกินไป ทำให้ปวดหลังได้
    นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ทำให้ข้อกระดูก และเอ็นต่างๆ คลายตัวหลวมมากขึ้น
ความแข็งแรงของข้อลดลง จึงทำให้ปวดหลังได้ ควรพยายามนอนพื้นเรียบ ใช้หมอนหนุนหลังเวลานั่ง อย่าก้มหยิบของ ควรใช้วิธีนั่งหยิบแทน
และควรใส่รองเท้าส้นเตี้ย อาจให้สามีช่วยนวดหลังเบาๆ นอกจากจะคลายปวดแล้ว ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ด้วย


อาหาร
  1. คุณแม่จะรับประทานอาหารได้ดีขึ้น เมื่ออาการแพ้ท้องหายไป
  2. ควรเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ นม ผัก ผลไม้
  3. ไม่ควรรับประทานอาหารพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล ขนมหวาน ไขมันมากเกินไป
  4. ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารดิบๆ สุกๆ ของหมักดอง ผงชูรส ชา กาแฟ เหล้า และบุหรี่
การพักผ่อน
  1. ระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่จะรู้สึกเหนื่อย และอ่อนเพลียง่าย กลางคืนควรนอนหลับให้เต็มอิ่ม ประมาณ 8-10 ชั่วโมง

    และควรหาเวลานอนพักในตอนบ่ายอีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
  2. การลดจำนวนการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ให้เหลือน้อยที่สุด

    ถ้าหากคุณต้องการจะดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ให้จำกัดเฉพาะในเวลาเช้า หรือตอนบ่ายต้นๆ
  3. ควรงดดื่มน้ำ หรืออาหารเหลว หรือรับประทานอาหารอิ่มจนเกินไปก่อนที่จะเข้านอนสองสามชั่วโมง แต่ขอให้แน่ใจว่าคุณได้รับสารอาหาร

    และน้ำอย่างเพียงพอตลอดวัน การรับประทานอาหารมื้อเช้า และเที่ยงหนักๆ และรับประทานอาหารเย็นเบาๆ สามารถช่วยได้

    และหากมีอาการคลื่นไส้นอนไม่หลับ การรับประทานขนมปังกรอบสองสามแผ่นก่อนเข้านอนอาจช่วยได้
  4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมก่อนเข้านอน แต่ให้ทำอะไรที่เบาๆ และผ่อนคลายแทน

    และหากเป็นตะคริวที่ขาปลุกให้ตื่นนอนในตอนกลางคืน การกดเท้าแรงๆ ลงกับผนังห้องหรือลุกขึ้นยืนอาจช่วยได้
  5. ถ้ายังนอนไม่หลับ ให้ลุกขึ้นมาหาอะไรทำ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ หรือหากิจกรรมอื่นๆ ที่เพลิดเพลินทำแทน

    แล้วในที่สุดก็จะเหนื่อย และนอนหลับได้เอง
  6. นอนงีบ 30-60 นาที ระหว่างวัน เพื่อชดเชยเวลานอนที่สูญเสียไป




การออกกำลังกาย
  1. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดี ร่างกายแข็งแรง เช่น เดินเล่นในที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง ทำงานบ้านเบาๆ บริหารร่างกายด้วยท่าง่ายๆ
  2. ข้อควรระวัง คือ อย่าออกกำลังกายหักโหมจนร่างกายเหนื่อย อ่อนเพลีย หรือกระทบกระเทือนท้อง
การบริหารร่างกายสำหรับคุณแม่ก่อนคลอด
  • ท่าที่ 1 ยืนตรง มือเท้าเอง เท้าแยกพอประมาณ หลังตรง หาหนังสือเล่มหนาๆ ประมาณ 1-2 เล่ม วางอยู่ระหว่างเท้า ค่อยๆ

    ย่อขาลงหยิบหนังสือขึ้นจากพื้น แล้วยืนขึ้น ทำซ้ำ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 2 นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือซ้ายจับเข่าขวา พยายามบิดตัวไปทางขวาช้าๆ
  • ท่าที่ 3 นอนหงายชันเข่า ยกสะโพกขึ้นจากพื้นจนตึง ค้างไว้แล้วลดลง ทำซ้ำ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 4 นั่งคุกเข่าให้มือทั้งสองข้างวางบนพื้น ออกแรงโค้งหลังขึ้นขางบนจนสุดแล้วค้างไว้ ทำซ้ำ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 5 เอียงคอไปด้านซ้าย และกลับมาตรง เอียงคอไปด้านขวา และกลับมาตรง ก้มคอไปด้านหน้า และกลับมาตรง ทำซ้ำอย่างละ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 6 ยืนตรง มือทั้งสองข้างแตะไหล่หมุนไหล่เป็นวงกลม ไปข้างหลัง ทำซ้ำ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 7 ยืนตรงกางแขนทั้งสองข้างออก ก้มตัวไปข้างขวา แตะเข่าด้านข้าง ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 8 นอนหงาย ชันเข่าแขนตึง มือทั้งสองข้างวางบนต้นขา ออกแรงเกร็งท้องจนมือแตะเข่า ค้างไว้สักครู่ ทำซ้ำ 5 ครั้ง
การรักษาความสะอาดร่างกาย
  1. ระยะตั้งครรภ์จะรู้สึกร้อน และเหงื่อออกมาก ควรอาบน้ำให้ร่างกายสะอาดสดชื่น แต่ถ้าอากาศเย็นควรอาบน้ำอุ่น

    และให้ความอบอุ่นกับร่างกาย
  2. ถ้าผิวแห้งตึงให้ใช้โลชั่นทาหลังอาบน้ำ


การดูแลปาก และฟัน
  1. หญิงตั้งครรภ์มักมีปัญหาฟันผุ และเหงือกอักเสบได้ง่าย
  2. ควรแปรงฟันอย่างถูกวิธีวันละ 2 ครั้ง และบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด หรือแปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร
  3. ในระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่บางท่านอาจรู้สึกว่าอยากทานอาหารแปลกๆ และส่งผลให้เหงือกอาจจะอักเสบ หรือบวมได้

    และอาจรู้สึกขยับปากลำบาก จึงอาจละเลยเรื่องการรักษาสุขอนามัยภายในช่องปาก จึงส่งผลให้มีคราบสะสมภายในช่องปาก

    และมีโอกาสเกิดฟันผุได้มากขึ้น
  4. โรคเหงือกอักเสบในระหว่างตั้งครรภ์ หลอดเลือดฝอยในบริเวณเหงือกมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เกิดเลือดคลั่งในเหงือก

    และเหงือกมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง หรือที่รุนแรงกว่านั้น คือทำให้เกิดเนื้องอกที่เหงือก เหงือกมีสีแดงเข้ม และไม่เจ็บปวด

    ซึ่งเหงือกมีเลือดคั่งอย่างมาก และเหงือกมีเลือดออกเป็นประจำ แต่เนื้องอกหรืออาการเลือดออกดังกล่าวจะค่อยๆ

    หายไปเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของการตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ตัดเนื้องอกนี้ทิ้ง

    นอกจากว่าจะเกิดแผลในช่องปากหรือมีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร
  5. หากมีโรคเกี่ยวกับเยื่อหุ้มฟันอยู่แล้ว อาการอาจรุนแรงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์
  6. ฟันอาจโยกได้มากขึ้น
  7. สตรีมีครรภ์บางท่านอาจรู้สึกคลื่นไส้ และอาเจียน ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมา และอาจกัดกร่อนฟันได้ ปกติแล้ว

    ฟันที่ถูกกัดกร่อนจะเป็นซี่ที่ติดกับด้านข้างลิ้น
การดูแลเต้านม
  1. ขณะตั้งครรภ์เต้านมจะขยายขึ้น เพื่อเตรียมสร้างน้ำนมให้ลูกน้อย ควรเปลี่ยนยกทรงให้มีขนาดพอเหมาะใส่สบาย
  2. คุณแม่บางคนอาจจะมีน้ำนมไหลซึมออกมา ไม่ต้องกังวลใจ เวลาอาบน้ำให้ล้างเต้านมด้วยน้ำสะอาด

    ไม่ควรฟอกสบู่เพราะจะทำให้ผิวแห้งมาก อาจใช้โลชั่นทานวด เมื่อรู้สึกผิวแห้งตึง หรือคัน
  3. ถ้ามีปัญหาหัวนมสั้น หัวนมบอด หรือผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลที่ฝากครรภ์ก่อนที่จะคลอด

    มิฉะนั้นอาจจะมีอุปสรรคต่อการให้นมลูก


การมีเพศสัมพันธ์
  1. ไม่มีข้อห้ามในผู้ตั้งครรภ์ปกติ แต่ควรงดเว้นใน 1 เดือน สุดท้ายก่อนคลอด
  2. ในรายที่เคยแท้ง ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
  3. ในรายที่มีปัญหาอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ หรือพยาบาลผู้ตรวจครรภ์
น้ำหนักตัวในระหว่างตั้งครรภ์
  1. โดยทั่วไปแพทย์มักจะแนะนำหญิงตั้งครรภ์ว่าควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์
    แต่ถ้ามีน้ำหนักตัวเพิ่มไม่ถึงเกณฑ์กำหนดมักจะพบว่าทารกที่เกิดมาจะมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำกว่าปกติ หรือทารกน้ำหนักน้อย

    ตัวเล็กผิดปกติ ขณะเดียวกันหญิงตั้งครรภ์ถ้ากินมากเกินไปจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก

    และทำให้เกิดปัญหาต่อการตั้งครรภ์หลายประการ เช่น ทารกตัวโตคลอดลำบาก หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวมากจะทำให้เหนื่อยง่าย

    ปวดหลังมากขึ้น เส้นเลือดขอดมากขึ้น และทำให้แผลผ่าตัดติดช้า เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้ง่าย
  2. บางครั้งหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากๆ มิได้หมายความว่าทารกในครรภ์จะตัวโตเสมอไป อาจจะได้ทารกน้ำหนักน้อยก็มี

    ทั้งนี้เนื่องจากภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสม โดยเน้นที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพ การเพิ่มน้ำหนัก 10 กิโลกรัมต่อการตั้งครรภ์

    เป็นน้ำหนักโดยเฉลี่ยที่ต้องพิจารณาตามรูปร่าง และขนาดตัวของหญิงตั้งครรภ์ เช่น ผู้ที่มีรูปร่างเล็ก

    และมีขนาดตัวก่อนการตั้งครรภ์น้อยกว่า 5 กิโลกรัม การเพิ่มของน้ำหนักตัวตลอดการตั้งครรภ์ อาจจะน้อยกว่า 10 กิโลกรัมได้

    ทั้งนี้น้ำหนักที่เพิ่มจะเป็นน้ำหนักของทารก 3 กิโลกรัม และเป็นน้ำหนักของรก น้ำหล่อเด็ก เนื้อเยื่อที่ยืดขยายของเต้านม มดลูก เป็นต้น อีก

    5-6 กิโลกรัม
  3. หญิงตั้งครรภ์ที่ควรจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากเป็นกรณีพิเศษ คือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากเป็นกรณีพิเศษ

    คือผู้ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐานในขณะก่อนตั้งครรภ์ โดยในระยะไตรมาสแรกควรจะพยายามปรับให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเท่ามาตรฐาน

    แล้วใช้เวลาในระยะ 6 เดือนต่อมาเพิ่มน้ำหนักให้ได้เท่าที่ต้องการตลอดการตั้งครรภ์

    หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานก่อนการตั้งครรภ์ ต้องระวังดูแลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม

    โดยเลือกกินอาหารเป็นพิเศษ
  4. ระยะเวลาตลอดการตั้งครรภ์ไม่ใช่เวลาที่จะควบคุมน้ำหนักด้วยการงดอาหารอย่างเด็ดขาด

    ทั้งนี้เพราะทารกจะได้พลังงานจากการเผาผลาญไขมันของหญิงตั้งครรภ์เท่านั้น แต่จะไม่ได้สารอาหารใดๆ ทั้งสิ้น หญิงตั้งครรภ์แฝดสอง

    หรือแฝดสาม มิได้หมายความว่าจะต้องมีน้ำหนักเพิ่มเป็นสอง หรือสามเท่าตามจำนวนทารกในครรภ์ แต่อาจจะเพิ่มน้ำหนักโดยเฉลี่ย 5

    กิโลกรัมต่อทารก 1 คน โดยกินอาหารภายใต้การดูแลของแพทย์
  5. อัตราการเพิ่มของน้ำหนักตัว โดยเฉลี่ยน้ำหนักตัวของหญิงตั้งครรภ์จะมีการเพิ่มน้อยในช่วงระยะไตรมาสแรกคือประมาณ 1-2

    กิโลกรัมเท่านั้น และจะมีน้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสที่สองจนถึงต้นไตรมาสที่สาม คือในอายุครรภ์ 3-8 เดือน

    น้ำหนักจะเพิ่มโดยเฉลี่ย 1/2 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และในระยะเดือนสุดท้ายน้ำหนักจะคงที่หรือลดลงบ้างเล็กน้อยประมาณ 1/2

    กิโลกรัมดังนั้นในไตรมาสที่สามน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเพียง 2-3 กิโลกรัมเท่านั้น
การดูแลผิวพรรณขณะตั้งครรภ์
เมื่อผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสรีระ และอารมณ์ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนหลายชนิด

ผิวพรรณที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมักก่อให้เกิดความกังวลใจไม่น้อย การรับรู้ถึงภาวะปกติ

และไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณขณะตั้งครรภ์จะช่วยให้รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องกังวล
  1. รอยคล้ำ จะสังเกตได้ว่าบริเวณข้อพับของร่างกายมีสีเข้มขึ้นตั้งแต่รักแร้ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน รวมถึงหัวนม และอวัยวะเพศ

    แต่ที่กลัวกันมากที่สุด คือ มีฝ้าขึ้นที่หน้า โดยเฉพาะคนที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ กระที่เป็นอยู่แล้วก็มักสีเข้ม

    และเพิ่มจำนวนมากขึ้นแต่อย่าเพิ่งกังวล รอยคล้ำต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ จางลงอย่างช้าๆ ภายหลังคลอด
  2. สิว เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างตั้งครรภ์ มีผลต่อการทำงานของต่อมไขมันทำให้บางคนเกิดเป็นสิวเห่อขึ้นที่หน้า

    และตัวได้ แต่กับบางคนก่อนตั้งครรภ์เป็นสิวง่าย พอตั้งครรภ์แล้วสิวหายหน้าผ่องก็มี
  3. รอยแตกลาย เกิดขึ้นจากการยืดตัวของผิวหนังขณะตั้งครรภ์มักพบบริเวณหน้าท้อง สะโพก ก้น หน้าอกต้นขา อาจเป็นสีชมพู ม่วง

    หรือดำในคนผิวคล้ำ บางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วยหลังคลอดอาจจางลงได้เล็กน้อย
  4. ติ่งเนื้อสีน้ำตาลดำ มักเกิดขึ้นที่คอ รักแร้
  5. การติดเชื้อรา ที่ผิวหนังบริเวณที่มีการอับชื้น เนื่องจากคนท้องมักขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย

    จึงเกิดจุดอับชื้นบริเวณซอกพับที่สรีระมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น ใต้ราวนมรักแร้ขาหนีบเป็นสาเหตุของการติดเชื้อราแคนดิดาได้ง่าย
  6. โรคผื่นคันในคนท้อง มีลักษณะเป็นผื่นลมพิษตุ่มแดง คัน

    ที่ไม่ได้เกิดจากการแพ้อาหารหรือสารเคมีมักเป็นเมื่อครรภ์แก่ในช่วงสามเดือนก่อนคลอด ผื่นคันนี้อาจลามกระจายทั้งตัวได้

    แต่หลังคลอดผื่นก็จะค่อยๆ จางหายไป




สังคายนา

การสังคายนา22  ก็คือการประชุมตรวจชำระสอบทาน พระธรรมวินัยให้เข้าเป็นหมู่เดียวกัน เพื่อประโยชน์แก่การศึกษา การสังคายนานี้เมื่อจะนับตั้งแต่เมื่อทำในประเทศอินเดีย ศรีลังกา พม่า และไทย ก็มีหลายครั้งด้วยกันดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 

สังคายนาครั้งที่ ๑ (ในประเทศอินเดีย)
                สืบเนื่องมาจากเหตุที่หลวงตารูปหนึ่ง ชื่อว่าสุภัททะ ได้พูดกับพวกภิกษุที่มีความเศร้าโศกเสียใจขณะที่ได้ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เมื่อครั้งพระมหากัสสปะพาเดินทางไปทำศพของพระพุทธเจ้า โดยบอกว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานนะดีแล้ว จะไม่ได้ห้ามอะไรเราอีก ต่อไปนี้เราจะทำอะไรก็ได้ดั้งนี้ เมื่อทำการเผาพระศพพระพุทธเจ้าแล้ว พระมหากัสสปะก็ได้ปรารภเรื่องที่หลวงตานั้นพูด ให้กับคณะสงฆ์ฟัง และเพื่อหาทางป้องันไม่ให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก จึงได้นัดประชุมสงฆ์ เพื่อทำการสังคายนาขึ้น
การสังคายนาครั้งนี้
- มีพระมหากัสสปะเป็นประธานและเป็นผู้ถาม
- มีพระอุบาลีเป็นผู้ตอบในด้านวินัย
- มีพระอานนท์เป็นผู้ตอบในด้านธรรม
- มีพระสงฆ์ (อรหันต์ทั้งหมด) ร่วมประชุม ๕๐๐ รูป ทำอยู่ ๗ เดือนจึงสำเร็จ ได้พระ
เจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้ให้การอุปถัมภ์ ทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภาระใกล้กรุงราชคฤห์
 

การสังคายนาครั้งที่ ๒ (ในประเทศอินเดีย)
                การสังคายนาครั้งนี้ปรารภเหตุที่ภิกษุวัชชีบุตร ในเมืองไพศาลีได้ประพฤติย่อหย่อนพระธรรมวินัย ๑๐ ข้อ เช่น ตะวันบ่ายไปแล้ว ๒ นิ้ว ก็ฉันอาหารได้ เป็นต้น
                เพื่อที่จะชี้แจงให้เข้าใจกันโดยถูกต้อง พระยสกากัณฑกบุตร ได้ชักชวนพระเถระทั้งหลายทำสังคายนาขึ้น โดยมีพระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้ตอบปัญหาในทางวินัยที่เกิดขึ้น มีพระสงฆ์ร่วมประชุม ๗๐๐ รูป ทำที่วาลิการาม เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี ทำอยู่ ๘ เดือน เมื่อ พ.ศ.๑๐๐ ได้มีพระจ้ากาลาโศกราชเป็นองค์อุปถัมภ์


การสังคายนาครั้งที่ ๓ (ในประเทศอินเดีย)
                การทำสังคายนาครั้งนี้ สาเหตุก็คือปรารภเหตุที่คนนอกศาสนาปลอมบวชกันมาก เพราะหวังลาถคนเหล่านั้นเมื่อมาบวชก็ยังมีความเชื่อตามศาสนาเดิมของตนอยู่ และได้สอนผู้คนไปตามความเชื่อนั้น ทำให้คนต่างพากันสอนไปตามความเชื่อของคน จึงทำให้พระสงฆ์แท้ไม่ยอมลงอุโบสถสังฆกรรมร่วมกับภิกษุปลอมเหล่านั้นอยู่นานหลายปี พระเจ้าอโศกจึงใช้อำนายกำจัดพระปลอมเหล่านั้นให้สึกไปถึง ๖๐,๐๐๐ คน จากนั้น พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้รวบรวมพระสงฆ์ทำสังคายนาขึ้น โดยมีท่านเองเป็นผู้ถาม พระมัชฌันติกเถระ และพระมหาเทวเถระเป็นผู้แก้ มีพระสงฆ์ร่วมประชุม ๑,๐๐๐ รูป ทำที่อโศการาม เมืองปาตลีบุตร เมื่อ พ.ศ.๒๓๔ ทำอยู่ ๙ เดือนจึงสำเร็จ มีเจ้าอโศกมหาราช (ศรีธรรมาโศกราช)เป็นผู้อุปถัมภ์
                เมื่อเสร็จการสังคายนาครั้งนี้แล้ว พระเจ้าอโศกได้ส่งพระสงฆ์ออกไปประกาศพระศาสนาในต่างแดนทั้งหมด ๙ สายด้วยกัน สายหนึ่งได้เดินทางมาประกาศพระศาสนาแถบประเทศไทยเรา(สุวรรณภูมิ) มีหัวหน้า ๒ รูป คือ พระโสภณะ กับ พระอุตตระ ไทยเราจึงได้รับศาสนาพุทธตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


การสังคายนาครั้งที่ ๔ (ในลังกา)
                หลังจากการสังคายนาครั้งที่ ๓ แล้ว พระเจ้าอโศกได้ส่งพระไปประกาศพระศาสนาในต่างแดน สายหนึ่งโดยการนำของพระมหินทเถระ ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าอโศกเอง ได้ไปยังประเทศศรีลังกา(กังลาทวีป)ในปัจจุบันนี้ ไปถึงท่านได้แสดงธรรมแก่พระเจ้าเทวานัมปิยติสสเถระเลื่อมใส และอาศัยความใคร่จะให้ศาสนามั่นคงในลังกานี้ท่านจึงรวมพระสงฆ์ขึ้นทำสังคายนา โดยท่านเองเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอริฏฐ เป็นผู้แก้ มีพระสงฆ์ร่วมประชุม ๖๘,๐๐๐ รูป ทำที่ถูปาราม เมืองอนุราธบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ ทำอยู่ ๑๐ เดือนจึงสำเร็จ ได้มีพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ เป็นผู้อุปถัมภ์


การสังคายนาครั้งที่ ๕ (ในลังกา)
                ในการสังคายนาในครั้งนี้ ปรารภเหตุที่ว่า ต่อไปในอนาคตจะมีผู้ท่องจำพระพุทธพจน์ได้น้อย และอาจจะมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้พระธรรมวินัยผิดพลาดจึงได้ตกลงกันว่า ควรจารึกคำสอนลงในใบลานครั้งนี้ ได้มีพระพุทธธัตตะ เป็นประธาน มีพระสงฆ์เข้าร่วมประชุม ๕๐๐ รูป ทำที่อาโสกเลณสถานในมลัยชนบท ในประเทศศรีลังกา เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ ได้พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัย เป็นผู้อุปถัมภ์ ทำอยู่ ๑ ปี จึงสำเร็จ

๑. การทำสังคายนาครั้งที่ ๑ ถึงครั้งที่ ๕ ปรารภเหตุอะไร ?
ครั้งที่ ๑ ปรารภสุภัททะกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย
ครั้งที่ ๒ ปรารภภิกษุวัชชีบุตรแสดงวัตถุ ๑๐ ประการ
ครั้งที่ ๓ ปรารภเดียรถีย์ปลอมบวช
ครั้งที่ ๔ ปรารภให้ศาสนามั่นคงในอินเดีย
ครั้งที่ ๕ ปรารภเพื่อจารึกคำสอนลงในใบลาน
๒. ในการทำสังคายนาแต่ละครั้ง ใช้เวลานานเท่าไร ?
ครั้งที่ ๑ ใช้เวลา ๗ เดือน
ครั้งที่ ๒ ใช้เวลา ๘ เดือน
ครั้งที่ ๓ ใช้เวลา ๙ เดือน
ครั้งที่ ๔ ใช้เวลา ๑๐ เดือน
ครั้งที่ ๕ ใช้เวลา ๑๒ เดือน (๑ ปี)
๓. ในการทำสังคายนาแต่ละครั้ง มีพระสงฆ์เข้าร่วมประชุมครั้งละเท่าไร ?
ครั้งที่ ๑ มีพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป
ครั้งที่ ๒ มีพระสงฆ์ ๗๐๐ รูป
ครั้งที่ ๓ มีพระสงฆ์ ๑,๐๐๐ รูป
ครั้งที่ ๔ มีพระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป
ครั้งที่ ๕ มีพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป
๔. ในการทำสังคายนาแต่ละครั้ง มีใครเป็นประธาน ?
ครั้งที่ ๑ พระมหากัสสปะ เป็นประธาน
ครั้งที่ ๒ พระยสะ กากัณฑากบุตร เป็นประธาน
ครั้งที่ ๓ พระโมคคัลลีบุตร เป็นประธาน
ครั้งที่ ๔ พระมหินทเถระ เป็นประธาน
ครั้งที่ ๕ พระพุทธทัตตะ เป็นประธาน
๕. ในฝ่ายฆราวาส มีใครให้การอุปถัมภ์ในการทำสังคายนาแต่ละครั้ง ?
ครั้งที่ ๑ พระเจ้าอชาตศัตรู อุปถัมภ์
ครั้งที่ ๒ พระเจ้ากาลาโศกราช อุปถัมภ์
ครั้งที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราช อุปถัมภ์
ครั้งที่ ๔ พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ อุปถัมภ์
ครั้งที่ ๕ พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัย อุปถัมภ์
๖. การสังคายนาในประเทศอินเดีย ทั้งหมดที่มีการรับรองและไม่รับรองกี่ครั้ง ?( ๔ ครั้ง พ.ศ.๓,๑๐๐,๒๓๔, ๖๔๓)
๗. ในลังกา มีทั้งหมดกี่ครั้ง ? ( ๓ ครั้ง พ.ศ. ๒๓๘ – ๔๕๐ – ๒๔๐๘)
๘. พม่า ทั้งหมดกี่ครั้ง ? ( ๒ ครั้ง พ.ศ. ๒๔๑๔ – ๒๔๙๗ )
๙. ในไทยเรามีการสังคายนากี่ครั้ง ? (๕ ครั้ง พ.ศ. ๒๐๒๐ – ๒๓๓๑(ร.๑)๒๔๓๖(ร.๕) ๒๔๖๘(ร.๗) ๒๕๒๘(ร.๙)
๑๐. ลองบอกเรื่องราวเกี่ยวกับพระไตรปิฎกในเมืองไทยมาพอสังเขป ?
ครั้งที่ ๑ ชำระและจารึกลงในใบลานทำที่เชียงใหม่ สมัยพระเจ้าโลกราช พ.ศ. ๒๐๒๐
ครั้งที่ ๒ ชำระและจารึกลงในใบลานทำที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๓๑
ครั้งที่ ๓ ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม ทำที่กรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๖
ครั้งที่ ๔ ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม ทำที่กรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๖๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๓
ครั้งที่ ๕ ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม ทำที่กรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๒๘ เพื่อเป็นการฉลอง ๖๐พรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
 ที่มา

ป่าชายเลน

ป่าชายเลน...คุณค่ามหาศาล

          ป่าชายเลน มีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยาแนวชายฝั่งอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นถิ่นกำเนิดและเป็นที่เจริญเติบโตของพันธุ์พืชและสัตว์น้ำนานาชนิด ที่เอื้อต่อการเจริญอยู่ของวงจรระบบนิเวศบริเวณชายฝั่ง และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
          ศ.ดร.สนิท แก้วอักษร นักวิชาการชาวไทยที่ศึกษาวิจัยป่าชายเลน ได้ให้นิยามความสำคัญของป่าชายเลนไว้มากมาย โดยเปรียบป่าชายเลนว่าเป็นเสมือน "บ้าน" ของพันธุ์สัตว์น้ำและพันธุ์พืชนานาชนิด ที่ใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และเจริญเติบโต เป็นเสมือน "ครัว" ซึ่งได้ธาตุอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตพืชและสัตว์จากเศษใบไม้ที่หลุดร่วงสลายเป็นอาหารในดิน เป็นเสมือน "โรงบำบัดน้ำเสีย" เนื่องจากรากและลำต้นของพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ เป็นด่านกรองสิ่งปฏิกูลในน้ำก่อนที่จะไหลลงสู่ทะเล เป็นเสมือน "โรงยา" ด้วยพืชหลายชนิดมีสรรพคุณทางสมุนไพรบำบัดอาการของโรคต่างๆ ได้ดี เป็นเสมือน "ปอด" เนื่องจากสภาพธรรมชาติที่ร่มรื่น ช่วยให้อากาศบริเวณชายฝั่งทะเลสะอาด บริสุทธิ์ เป็นเสมือน "สะพาน" ที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ชายฝั่งและทะเล และที่สำคัญ คือ เป็นเสมือน "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งได้ทำประมง และใช้ประโยชน์จาพืชนานาพันธุ์เพื่อการดำรงชีวิต ป่าชายเลนจึงเปรียบเสมือนลมหายใจของสิ่งมีชีวิตที่ต้องดำรงอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกันอย่างสมดุลตามธรรมชาติ แต่ในระยะหลายสิบปีที่ป่านมา สภาพป่าชายเลนตามแนวชายฝั่งด้านอ่าวไทยและด้านทะเลอันดามันถูกทำลายไปมาก ซึ่งหากปล่อยปละละเลยกันต่อไป อาจเกิดผลกระทบที่จะสร้างความเสียหายต่อสมดุลทางระบบนิเวศธรรมชาติมากเกินกว่าจะแก้ไขได้ทัน และป่าชายเลนอาจกลายเป็นเพียงภาพในอดีตที่เคยปรากฏบนผืนแผ่นดินไทยเท่านั้น
          ป่าชายเลนเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศชายฝั่งทะเล เป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์น้ำนานาชนิด ที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ สังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนบ้าน
          ป่าชายเลนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิด สัตว์น้ำตัวเล็กๆ ต้องอาศัยระบบรากที่ซับซ้อนของพืชป่าชายเลนสำหรับวางไข่ อนุบาลตัวอ่อนและหลบภัย ลิงแสมที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน ก็ได้จับปู ปลา เป็นอาหาร ดังนั้นการทำลายป่าชายเลน จึงเท่ากับเป็นการทำลายบ้านที่เป็นแหล่งอาหารของสัตว์มากมาย
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงครัว
          ยามน้ำขึ้น ป่าชายเลนจะมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยฝูงปลาหลากหลายชนิดต่างพากันออกมาหากินบนพื้นผิวป่าชายเลน ใบไม้ในป่าชายเลนที่ร่วงหล่น จะสลายตัวกลายเป็นธาตุอาหารอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการดำรงอยู่ของสัตว์น้ำนานาชนิด เพื่อเติบโตกลายเป็นอาหารอันโอชะของมนุษย์ต่อไป
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงไม้
          ระบบนิเวศของป่าชายเลนถูกกำหนดด้วยการขึ้นลงของน้ำทะเล ชาวบ้านจะช่วยกันปลูกป่าเพื่อนำต้นไม้มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและหารายได้เลี้ยงครอบครัว เช่น เผาไม้โกงกางเพื่อทำเป็นฟืนและถ่านที่มีคุณภาพดี ใช้ไม้สร้างที่อยู่อาศัย ทำเครื่องใช้ในครัวเรือน และเครื่องมือทำประมง เป็นต้น
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนบ้าน
          ป่าชายเลนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิด สัตว์น้ำตัวเล็กๆ ต้องอาศัยระบบรากที่ซับซ้อนของพืชป่าชายเลนสำหรับวางไข่ อนุบาลตัวอ่อนและหลบภัย ลิงแสมที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน ก็ได้จับปู ปลา เป็นอาหาร ดังนั้นการทำลายป่าชายเลน จึงเท่ากับเป็นการทำลายบ้านที่เป็นแหล่งอาหารของสัตว์มากมาย
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงครัว
          ยามน้ำขึ้น ป่าชายเลนจะมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยฝูงปลาหลากหลายฃนิดต่างพากันออกมาหากินบนพื้นผิวป่าชายเลน ใบไม้ในป่าชายเลนที่ร่วงหล่น จะสลายตัวกลายเป็นธาตุอาหารอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการดำรงอยู่ของสัตว์น้ำนานาชนิด เพื่อเติบโตกลายเป็นอาหารอันโอชะของมนุษย์ต่อไป
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงไม้
          ระบบนิเวศของป่าชายเลนถูกกำหนดด้วยการขึ้นลงของน้ำทะเล ชาวบ้านจะช่วยกันปลูกป่าเพื่อนำต้นไม้มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและหารายได้เลี้ยงครอบครัว เช่น เผาไม้โกงกางเพื่อทำเป็นฟืนและถ่านที่มีคุณภาพดี ใช้ไม้สร้างที่อยู่อาศัย ทำเครื่องใช้ในครัวเรือน และเครื่องมือทำประมง เป็นต้น
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงยา       วิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าชายเลน ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้จากรากเหง้าแห่งภูมิปัญญาการรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นต่อไป ด้วยคุณค่าทางสมุนไพรของพันธุ์ไม้เกือบทุกชนิดในป่าชายเลน อาทิ เหงือกปลาหมอดอกม่วง มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็ง โรคหืดหอบ วัณโรค และอัมพาต เป็นต้น
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงบำบัดน้ำเสีย
          รากที่สลับซับซ้อนและหนาแน่นคล้าย "ตะแกรง" ของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน มีศักยภาพสูงในการดูดซับสารพิษ และเก็บกักตะกอน กลั่นกรองขยะ สิ่งปฏิกูลของเสียต่างๆ ที่มาจากพื้นบก อันเนื่องมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เป็นการลดมลภาวะทางน้ำ ส่งผลให้น้ำใสสะอาด
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงฟอกอากาศ          ท่ามกลางสังคมเมืองที่แออัด ทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศเพิ่มขึ้น หลายคนไขว่คว้าหาอากาศบริสุทธิ์ ป่าชายเลนจึงเป็นสวรรค์สำหรับคนเมือง เพราะช่วยฟอกอากาศ สร้างความสดชื่นแก่ทุกคน ท่ามกลางกระแสน้ำขึ้น น้ำลง ความโดดเด่นงดงามอย่างมหัศจรรย์ของพันธุ์ไม้ และเสียงกู่ร้องบรรเลงของสัตว์นานาชนิด
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงเรียนธรรมชาติ
       การศึกษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของป่าชายเลน เปรียบเสมือนได้ท่องสำรวจในห้องสมุดขนาดใหญ่ อางค์ประกอบและเรื่องราวสรรพสิ่งต่างๆ ในป่าชายเลน ล้วนมีคุณค่าควรแก่การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับระบบนิเวศชายฝั่ง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดอาหารโปรตีนที่สำคัญของโลก รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ร่วมกับป่าชายเลนได้อย่างมีความสุข
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนกำแพงธรรมชาติ
          รากของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่โผล่ขึ้นมาแผ่กว้างเหนือดิน และหยั่งลึกลงใต้ดิน ช่วยยึดเกาะดินไว้ไม่ให้พังทลาย ป่าชายเลนที่ขึ้นเป็นแนวเขตบริเวณชายฝั่งทะเลจึงทำหน้าที่เหมือนเขื่อนหรือกำแพงธรรมชาติที่คอยปะทะพายุและคลื่นลมทะเล ช่วยปกป้องบ้านเรือนและทรัพย์สินของมนุษย์ไม่ให้เสียหาย
ป่าชายเลน เปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำ
          ชาวประมงส่วนใหญ่เริ่มต้นกิจวัตรประจำวันด้วยการเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากป่าชายเลน ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา หรือสัตว์น้ำอื่นๆ พวกเขาสำนึกในคุณค่าของป่าชายเลนว่าเป็นโรงผลิตอาหารทะเลหรืออู่ข้าวอู่น้ำ ทำให้พวกเขามีอาหารดีๆ รับประทาน และแบ่งขายได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องลงทุน
การฟื้นฟูป่าชายเลนโดยธรรมชาติ
       การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของป่าชายเลน ไม่จำเป็นต้องหาซื้อเมล็ดพันธุ์ หรือต้นกล้ามาปลูกแต่อย่างใด ด้วยกลไกการปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมได้ เมล็ดลักษณะพิเศษของพืชป่าชายเลน เช่น โกงกาง เป็นฝักแหลมยาว เมื่อแก่จึงหล่นจากต้น และปักบนดินที่อ่อนนุ่ม พร้อมที่จะเจริญเติบโตเป็นต้นไม่ใหญ่ต่อไปโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์

โรคฉี่หนู

โรคฉี่หนู เชื้อร้ายที่มากับน้ำท่วม

หนู โรคฉี่หนู
โรคฉี่หนู Leptospirosis
โรคฉี่หนู เชื้อร้ายที่มากับน้ำท่วม (กรุงเทพธุรกิจ)

         ภาวะฝนที่ตกหนักจนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ไม่เพียงส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ภาวะน้ำท่วมขังยังนำมาซึ่งโรคร้ายหลายชนิด ยิ่งเฉพาะโรคฉี่หนูที่มีการระบาดหนักและมีรายงานการเสียชีวิตทุกปี

        
ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ที่ปรึกษาด้านวิชาการศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. กล่าวว่า โรคฉี่หนู ในประเทศไทยพบระบาดรุนแรงมากในช่วงฤดูฝน ยิ่งเฉพาะในเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่น้ำฝนชะล้างเอาเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อม เข้ามารวมกันอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง

        
โรคฉี่หนู เป็นโรคระบาดในคนที่ติดต่อมาจากสัตว์ มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ เลปโตสไปรา (Leptospira sp.) เป็นเชื้อที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์พาหะซึ่งไม่ใช่แค่หนู แต่ยังรวมถึง วัว ควาย หรือสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวอย่าง แมวและสุนัข เป็นต้น การติดเชื้อมักเกิดขึ้นผ่านทางบาดแผลที่เกิดจาการแช่น้ำเป็นเวลานาน ๆ โดยเชื้อแบคทีเรียจะชอนไชเข้าสู่ผิวหนัง อีกทั้งยังผ่านเข้าทางเยื่อเมือก เช่น ตาและปาก ฉะนั้น ผู้ปกครองจึงไม่ควรปล่อยให้เด็ก ๆ ลงเล่นน้ำที่ท่วมขัง เพราะเสี่ยงติดเชื้อโรคนี้ ซึ่งอาจมีผลร้ายแรงทำให้เสียชีวิตได้

        
สำหรับอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ติดเชื้อ โรคฉี่หนู มี 2 แบบ คือ
แบบที่ไม่รุนแรง จะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรม ดา ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นอาการที่ไม่ต่างจากโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เชื้อจะเข้าไปอยู่บริเวณที่ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกัน เช่น ลูกตา จะทำให้มีอาการตาอักเสบแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ หากเชื้อเข้าไปอยู่ในสมองจะทำให้มีอาการเพ้อ ไม่รู้สึกตัว และถ้าเชื้ออยู่ในท่อไต จะทำให้ไตวาย ที่สำคัญเมื่อมีการติดเชื้อทั่วร่างกายจะทำให้มีเลือดออกในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิต


        
ดร.นำชัย กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเนื่องจาก โรคฉี่หนู มากในทุกปี อาจเนื่องมาจากอาการของโรค ซึ่งในเบื้องต้นจะคล้ายกับโรคไข้หวัดธรรมดา หรือโรคติดเชื้อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อโรคอื่น ๆ ที่พบมากในฤดูฝนหรือพบในบริเวณที่ประสบปัญหาน้ำท่วม จึงยิ่งทำให้การวินิจฉัยโรคเป็นค่อนข้างยาก ดังนั้น การตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำในห้องปฏิบัติการ จึงเป็นวิธีการที่ให้ข้อสรุปได้ชัดเจนว่า ผู้ป่วยติด โรคฉี่หนู หรือไม่ ซึ่งปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถคิดค้น และพัฒนาชุดตรวจ โรคฉี่หนู ในเวลาอันสั้นได้สำเร็จ

        
พญ. สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ กับ ดร.ปัทมา เอกโพธิ์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาชุดตรวจ โรคฉี่หนู ที่มีความแม่นยำต่อสายพันธุ์ที่พบในประเทศสูง และให้ผลการตรวจที่เที่ยงตรง ทั้งยังได้รับความนิยมและมีหลายหน่วยงานนำไปใช้งานจริงแล้ว เช่น ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นครราชสีมา และภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เป็นต้น

        
ขณะที่ ศ.ดร. วันเพ็ญ ชัยคำภา ได้พัฒนาเทคโนโลยีชุดตรวจโรคที่สามารถตรวจเชื้อ โรคฉี่หนู ได้ทุกสายพันธุ์ โดยใช้หลักการตรวจโปรตีนที่พบเฉพาะในผู้ติดเชื้อ โรคฉี่หนู ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำและใช้เวลาในการวินิจฉัยเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น มีการนำใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลขอนแก่น อีกทั้งล่าสุด นพ.ดร.อมรพันธุ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ พัฒนาชุดตรวจ โรคฉี่หนู ที่สังเคราะห์จากอนุภาคทองคำขนาดเล็กระดับนาโนเมตร สำหรับตรวจหาโปรตีนที่จำเพาะต่อแบคทีเรีย Leptospira spp. ทำให้การตรวจเป็นไปอย่างแม่นยำและมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น


         อย่างไรก็ดีแม้จะมีชุดตรวจ โรคฉี่หนู ที่สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำเพียงใด แต่หากใช้ตรวจผู้ป่วยไม่ทันการณ์ ก็เป็นสาเหตุนำไปสู่การเสียชีวิตได้
ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการไข้ขึ้นสูง ปวดเนื้อปวดตัว และเป็นกลุ่มเสี่ยง คือ อยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง เล่นน้ำ หรือย่ำน้ำในช่วงนี้ ให้รีบแจ้งข้อมูลกับแพทย์ทันที เพื่อให้เกิดการตรวจและวินิจฉัยอย่างถูกต้อง

ทุ่งดอกกระเจียว

ทุ่งกระเจียวกลางลานหิน....บานแล้ว

ได้ทราบข่าวจากเพื่อน ๆ ส่งข้อมูลมาให้ว่า  ทุ่งกระเจียวที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จ.ชัยภูมิ เริ่มบานแล้ว  ซึ่งทางจังหวัดได้จัดงานเทศกาลดอกกระเจียวบานตั้งแต่ต้นเดือน มิถุนายนนี้เป็นต้นไปถึงเดือนกรกฏาคม 2550   เพื่อน ๆ ท่านใดยังหาสถานที่เที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุดไม่ได้  น่าจะเลือกพิจารณาไว้ เพราะไปเมื่อไหร่สวยทุกครั้ง  ที่ประทับใจที่สุดคือ ครั้งที่เคยไปทุ่งกะมัง  ประทับใจครับ  และที่น่ายินดีอย่างยิ่งคือ  ตอนนี้นักวิชาการไทยจากสภาวิจัยแห่งชาติ  สามารถทำวิจัยเพื่อให้สามารถเพาะพันธุ์ให้ดอกกระเจียวสามารถออกได้ตลอดทั้งปี โดยคำนวณระยะเวลาการปลูกให้ตรงกับช่วงที่ต้องการ เพื่อส่งขายประเทศญี่ปุ่น



อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่านายางกลัก ในท้องที่ตำบลโป่งนก ตำบลนายางกลัก ตำบลบ้านไร่ ตำบลวะตะแบก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ มีสภาพป่าสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำชีและแม่น้ำป่าสักมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่งโดยเฉพาะทุ่งดอกกระเจียว มีพื้นที่ประมาณ 112 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 70,000 ไร่



เดิมบริเวณลานหินงามเป็นที่รู้จักเฉพาะราษฎรในท้องถิ่น ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2528 นายอำเภอเทพสถิต และป่าไม้อำเภอเทพสถิต ได้ออกตรวจพื้นที่และพบกับลานหินธรรมชาติที่มีรูปร่างสวยงามมีคุณค่าควรอนุรักษ์ไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนของบุคคลทั่วไป จึงเสนอเรื่องไปยังกรมป่าไม้ผ่านทางจังหวัดชัยภูมิ ในชั้นต้นกรมป่าไม้ได้ประกาศเป็นวนอุทยานป่าหินงาม เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2529 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร หรือ 6,250 ไร่



ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2536 กรมป่าไม้ได้ทำการสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงอย่างละเอียด และพบว่ายังมีพื้นที่ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ เมื่อรวบรวมพื้นที่แล้วประมาณ 112 ตารางกิโลเมตร หรือ 70,000 ไร่ โดยพื้นที่ดังกล่าวได้กันหมู่บ้านออกจากพื้นที่เรียบร้อยแล้วโดยการปฏิรูปที่ดิน อีกทั้งพื้นที่เตรียมจัดตั้งนี้มีความโดดเด่นทางธรณีวิทยา มีลานหินที่มีรูปลักษณ์สวยงาม มีพันธุ์ไม้ล้มลุกประจำถิ่น ที่มีดอกสีชมพูอมม่วงชูดอกสะพรั่งในช่วงต้นฤดูฝน มีน้ำตกไหลตลอดปี สมควรที่จะอนุรักษ์ไว้ในรูปแบบของอุทยานแห่งชาติ
สวยมากๆๆๆๆคัป

ทานตะวัน

ทานตะวัน เป็นพืชปีเดียว (Annual plant) อยู่ในแฟมิลี Asteraceae มีฐานรองกลุ่มดอก (Inflorescence) ขนาดใหญ่ ลำต้นโตได้สูงถึง 3 เมตร ฐานรองกลีบดอกอาจกว้างได้ถึง 30 เซนติเมตร ชื่อ"ทานตะวัน"ถูกใช้อ้างอิงถึงพืชทั้งหมดในจีนัส Helianthus ด้วยเช่นกัน
ทานตะวัน เป็นพืชท้องถิ่นของอเมริกากลาง มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการปลูกดอกทานตะวันในประเทศเม็กซิโกตั้งแต่ประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตกาล
ดอกทานตะวันสีเหลืองสว่าง
สวยคัป

วัยรุ่น

วัยรุ่น คือขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาระหว่างวัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยา (เช่นระบบสืบพันธุ์) ทางจิตวิทยา และทางสังคม การสิ้นสุดของการเป็นวัยรุ่นและเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ค่อนข้างมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศหรือตามกลุ่มสังคม ซึ่งจะเห็นได้จากการที่บุคคลนั้นได้รับความเชื่อมั่นหรือไว้ใจให้ทำหน้าที่หรืองานต่างๆ เช่น การขับขี่ยานพาหนะ การมีความสัมพันธ์ทางเพศ การเป็นทหาร การเลือกตั้ง หรือการแต่งงานเป็นต้น การเป็นวัยรุ่นมักจะสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของเสรีภาพที่ได้รับจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง หรือสิทธิตามกฎหมาย หรือความสามารถในการตัดสินใจในบางเรื่องโดยไม่ต้องขอความยินยอม

เนื้อหา

[ซ่อน]

เกาะเกร็ด นนนทบุรี

ผักนานาชนิด

ป้าครับ
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่าผมรักป้านะครับ
หลังจากที่ป้าแนะนำให้ความรู้เรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การบริหารร่างกาย การระมัดระวังเกี่ยวกับผลข้างเคียงอื่น ๆ  ที่คนขี้โรคอย่างผมควรจะระแวดระวัง อะไรที่ควรละ เลิก ลด อะไรที่ควรจะเพิ่มเติม ผมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองแบบเป็นค่อยเป็นค่อยไป เพราะไม่ต้องพาตัวเองปีนเกลียวจนเป็นทุกข์ ผลการจัดการเป็นประการใดก็กระโตกกระตากให้ป้าทราบเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะเรื่องเบาหวาน ที่ตรวจแล้วทราบว่ามีอาการเข้าระยะเส้นแดง ทราบแล้วผมก็ถอยกรูด งดชา กาแฟ น้ำอัดลม ของหวานอื่น แต่ก็ยังปากหวานนะป้า ผมอยากจะฟาดทุเรียนของชอบที่ละลูก ครูแห้วก็ห้ามหัวชนฝา ขนมหวานไม่ชอบอยู่แล้วจึงเลิกได้สบาย ๆ  ยังคงกินผลไม้ประจำโดยเฉพาะส้มเขียวหวาน ช่วงนี้ส้มโอข้างบ้านผลแก่ได้ที่แล้ว จะลองสอยมาทดสอบความอร่อยในเร็ว ๆ นี้  บางวันโฉมยงก็ปั่นน้ำผลไม้ให้บำรุงกระเพาะ ทุกเช้าจะมีน้ำปั่นสมุนไพร ประกอบด้วยใบย่านาง แป๊ะตำปึง ตำลึง กะวานฮ๊อก กระชาย โอยหลายสูตรครับป้า ปั่นผสมน้ำใจยกอะไรมาผมก็ซดทั้งนั้นแหละ ส่วนจะมีคุณสมบัติอย่างไรนั้น ซดไว้ก่อนแม่สอนไว้ ผมกับโฉมยงก็คงดำเนินชีวิตกล้อมแกล้มตามสภาพคนบ้านป่านะป้า
(ใบพริกอ่อนผัดกะทะร้อนกินกับข้าวต้ม ป้าเอ๊ยซู๊ดยอด!)
ผมให้ความสำคัญเรื่องอาหารเป็นพิเศษ ละลดเลิกเนื้อสัตว์ใหญ่ คงไว้เฉพาะปลาและไข่ นาน ๆ จะนึ่งไก่โอกใส่ผักอีตู่ ส่วนปลานั้นอุดมสมบูรณ์ มีให้เลือกปรุงอาหารได้ตามเมนูที่ชอบ ปลาต้ม ปลานึ่ง ปลาอบ ปลาป่น ส่วนผักนั้นเจี๊ยะเป็นหลักเลยละป้า ปีนี้มีผักปะเลอะปะเต๋อ ส่วนหนึ่งก็เกิดเอง โดยเฉพาะผักและสมุนไพรเขียวพรืดรอบบ้าน เล่าฮูแสวงบอกว่าดินมันฟื้นตัวแล้ว พืชพรรณธัญญาหารก็เลยย้อนยุคมาอุดมสมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อน ผมอยากให้ป้าหวานมาเห็น มีพริกขี้หนูต้นหนึ่งมันเกิดเอง แตกพุ่มใหญ่ออกลูกเป็นบ้าเป็นหลัง เลี้ยงคนได้ทั้งสวนก็ไม่หมด ต้นชะพลูแพร่ไปเหมือนวัชพืช ใบใหญ่เขียวสด คอกินเมื้ยงคำมาเจอร้องโอ๊กเลยละป้า
ปีนี้ติดสปริงเกอร์รอบบ้านทั้ง 4 ทิศ
ทุกทิศก็ปลูกผักนานาชนิด
ด้านหน้าบ้าน
มีพริก มะเขือ โหระพา กระเพรา ผักอี่ตู่ ใบบัวบก มีใบชะพลูและอ่อมแซบเป็นพืชคลุมดิน
ด้านหลังบ้าน
มีน้ำเต้า ฟักแฟง แตงโม เสาวรส มะเขือพวง บวบ ตำลึง ถั่วพู มะกล่ำ ชะอม กล้วยน้ำว้า
ด้านทิศตะวันตก
ส่วนมากเป็นไม้ประดับ ปลูกต้นฮว่านง๊อกไว้เด็ดใบมาผัด จะทำแผงไม้ไผ่ปลูกต้นชมจันทร์ไว้อวดอาม่าด้วยนะป้า ผมออกแบบเองจัดไว้เป็นจุดแวะโม้โดยเฉพาะ
ด้านทิศตะวันออก
มีมะเขือเทศ ผักหวานบ้าน ผักบุ้ง ผักกุยฉ่าย ผักโขมจีน (ต้นป๊อบอาย) ผักฮากจากเมืองน่านก็งอกแล้ว เราทำเป็นแปลงสาธิตการปลูกผักระบบชิด ตอนนี้ลงมะขาม มะกล่ำ อ้อยดำ มะรุม แค หม่อน มะละกอ ต้นยอ กะวานฮ๊อก มะเขือพวง ระหว่างที่ผักยืนต้นยังไม่โต เราก็หยอดฟักทอง ถั่วพู แตงโม ไปพลาง ๆ ก่อน แบ่งบางส่วนเป็นแปลงเพาะชำ อยากจะเพาะ ตะลิงปริงกับส้มโอเยอะ ๆ  กำลังหาเม็ดส้มโออยู่นะป้าต้องการประมาณ 10,000 เม็ด
“เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ครูบาทำ”
เอิ๊ก ๆ..คนป่วยควรอารมณ์ดีทั้งวันทั้งคืนใช่ไหมป้่า ขืนเคร่งเครียดเป็นบ้าเป็นหลังมีหวังเป็นบ้าตาย ผมเขียนแบบครื้นเครงบรรเลงแบบนี้ป้าคงไม่ว่านะครับ -อากาศ -อาหาร -อารมณ์ -นำไปสู่อนามัยที่ดี ..ผมไม่หงุดหงิดหรอกป้า พยายามทำกายาและจิตใจให้ผ่อนคลาย จะได้อยู่นาน ๆ ให้ป้าดูแลเลือดลมยังไงละป้า คิ คิ
( คนไม่ชอบผักแจกตะกร้า แต่ที่บ้าผักแจกกะบุุง ครับป้า เอิ๊กๆๆ)
มีเรื่องสนุก ๆ จะบอกป้า
ผมทำถนนคนเดินเด็ดผัก
หมายความว่าถ้าจะทำอาหารอะไรสักอย่าง
ถือตะกร้ากับกรรไกรไปฉับ ๆ ๆ ๆ..ได้เลย
โดยไม่ต้องย้อนมาทางเดิม
เราก็จะได้ผักครบตามที่ต้องการ
สมมุติว่าป้าจะต้มไก่
เดินไปอันดับแรกก็จะเจอ พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกหยวกให้เลือก เดินไปอีกหน่อยก็จะเจอ ขิง ข่า ตะไคร้ ต้นหอม ผักชี มะกรูด มะนาว ใบมะขามอ่อน ตะลิงปลิง
ขาดแต่ต้นอายิโนะโมะโต๊ะ กับต้นน้ำปลา หาพันธุ์ยังไม่ได้ อิ อิ
ถ้าอยากจะตำส้มบักหุ่ง ป้าเดินไปก็จะเจอมะละกอมะละกอเนื้อกรอบ  พริกขี้หนู มะเขือเทศ หอมกระเทียม ขาดต้นกุ้งแห้ง ส่วนผักกินแกล้มสัมตำ มีให้ป้าเลือกจนจุใจ ยอดมะยม ใบชะพลู ใบมะม่วงหิมพานต์ ยอดใบขนุน ถั่วฝักยาว ถั่วฝักสั้น ที่จริงจะสั้นจะยาวจะกินก็หั่นเท่า ๆ กันนั่นแหละ
(มะเขือเทศพันธุ์ขี้โม้ ลูกไม่โตแต่เต็มไปด้วยน้ำใจ)